แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - sasita

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15
31



ครูถามนักเรียนว่า “อะไรคือมหัศจรรย์ทั้ง ๗ ของโลก”

คำตอบมีต่างกันบ้าง  แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็เลือกคำตอบดังนี้

1.ปิรามิดแห่งอียิปต์


2.ทัชมาฮาล


3.ยอดเขาแกนด์แคนย่อน


4.คลองปานามา


5.ตึกเอ็มไพร์สเตท


6.วิหารเซนต์ปีเตอร์


7.กำแพงเมืองจีน



 


ระหว่างที่รวบรวมคำตอบอยู่แล้ว


ครูผู้สอนสังเกตเห็นว่า มีนักเรียนที่ยังไม่เสร็จอยู่คนหนึ่ง


ครูจึงถามเธอว่า เด็กหญิงเลือกไม่ถูกหรืออย่างไร


เด็กหญิงตอบว่า  “ค่ะ หนูไม่ทราบว่าจะเลือกอันไหนดี  เพราะมันช่างมีมากมายเหลือเกิน”


ครูเอ่ยขึ้นว่า “งั้นหนู ก็ลองบอกให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ  เผื่อพวกเราจะช่วยได้”


เด็กหญิงรีรอสักครู่หนึ่ง  ก่อนอ่านสิ่งที่ขีดเขียนไว้ในกระดาษว่า...


“หนูคิดว่า  เจ็ดมหัศจรรย์ของโลกคือ...



1.การมองเห็น


2.การได้ยิน


3.การได้สัมผัส


4.การได้รู้รส


5.การได้รู้สึก


6.การได้ยิ้มหัวเราะ



7.การได้รัก




ทั้งห้องอึ้งเงียบ  เงียบมากถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นพื้นที่เดียว




เรามองข้ามสิ่งเรียบง่ายและแสนธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง


จาก FWD.mail


 

32
กฏแห่งกรรม-ชาติภพ / เหตุผลที่คนชั่ว.......
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 09:19:52 am »
 ในคัมภีร์อภิธรรมได้แจกแจงถึงสาเหตุที่ทำให้คนเป็นชั่วไว้ ๕ ประการ



          ๑. ชั่วเพราะสันดานเดิม


          สันดานเดิมในที่นี้ บาลีจริง ๆ มุ่งเอากรรมชั่วที่สั่งสมไว้ในอดีตชาติ  หมายความว่า อดีตชาติเคยสั่งสมกรรมชั่วในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเอาไว้จนเป็นนิสัยสันดาน ครั้นตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ กรรมชั่วที่สั่งสมเอาไว้ก็ยังคงติดตามมา และกลายเป็นคุณสมบัติประจำตัวอีก เรียกว่ามีเชื้อชั่วติดตัวมา เช่น กรณีของพระเทวทัต แม้จะเกิดในราชสกุล แต่เพราะสันดานชั่วที่สั่งสมมามีกำลังมากกว่า ย่อมผลักดันให้กลายเป็นคนชั่วในที่สุด


          ความจริงในข้อนี้ หากพิจารณาในปัจจุบันก็อาจพอเห็นร่องรอยได้บ้าง เช่น เด็ก(รวมถึงผู้ใหญ่) บางคนเกิดในครอบครัวดี พ่อแม่เป็นคนดีมีฐานะ เป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม แต่กลับมีความประพฤติตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะสันดานชั่วฝังอยู่ในกมลสันดาน


          ๒. ชั่วเพราะสิ่งแวดล้อมพาไป


          สิ่งแวดล้อมนี้ได้แก่สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ข้างตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม รวมถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีส่วนกำหนด หรือบังคับให้ต้องเลือกกระทำความชั่วลักษณะใดลักษณะหนึ่ง อาจจะโดยเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ได้


          ๓. ชั่วเพราะคบคนชั่ว


          บาลีพระพุทธพจน์ทรงย้ำเรื่องของการคบไว้ว่า “คบคนเช่นไรเป็นเช่นนั้น” (ยํ เว เสวติ ตาทิโส) ในมงคลสูตรข้อแรกจึงสอนให้เรา “ไม่คบคนพาล” และ “เลือกคบแต่บัณฑิต” นั่นเป็นเพราะว่า ธรรมชาติของคนเรา เมื่อคบค้าสมาคมกับใครเป็นมิตรสหายแล้ว  ก็ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดการหลอมอัธยาศัยให้เข้ากันได้โดยง่าย  การคบค้าสมาคมกับคนชั่วจึงเท่ากับเปิดช่องให้ผู้นั้นกลายเป็นคนชั่วตามไปด้วย คล้าย ๆ กับสำนวนอุปมาอุปมัยโบราณที่ว่า “กฤษณาห่อปลาเน่าก็พลอยเน่าเหม็นไปด้วย”


          ๔. ชั่วเพราะปฏิเสธสิ่งดีงาม


          “ชั่วเพราะปฏิเสธสิ่งดีงาม” ผู้เขียนแปลมาจากศัพท์บาลีว่า “ไม่ฟังธรรมของสัตบุรุษ” เหตุผลที่แปลเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของคำว่า “ฟังธรรม” คับแคบไปจนเหลือเพียงการฟังเทศน์ฟังธรรม และคนที่จะเทศน์จะแสดงก็เหลือเพียงพระสงฆ์เท่านั้น


          ความหมายของการ “ไม่ฟังธรรมของสัตบุรุษ” จริง ๆ แล้วมีความหมายถึงว่า ไม่ยอมรับฟังคำชี้แนะ ข้อเสนอแนะ คำตักเตือน คำสั่งสอนอันดีงามจากผู้ที่มีความรักความปรารถนาดีต่อตนเอง เป็นการปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับคำสอน เช่น เด็กไม่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ นักเรียนไม่ฟังคำตักเตือนของครู เพื่อนปฏิเสธคำตักเตือนของเพื่อน เจ้านายไม่ฟังคำทักท้วงจากลูกน้อง ลูกน้องไม่ฟังคำตักเตือนจากเจ้านาย เป็นต้น ผู้ที่ตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสพลาดพลั้งกระทำในสิ่งที่เป็นความชั่ว ความเสียหายได้โดยง่าย


          ๕. ชั่วเพราะคิดผิด


          ข้อนี้ เพ่งถึงความคิดความอ่านที่บุคคลนั้น ๆ ตั้งเอาไว้ในใจ อาจอยู่ในรูปของค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ ความเข้าใจอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำ รวมไปถึงการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ หรือสนับสนุนการกระทำของตนให้เกิดความชอบธรรม เช่น ตนเองทำความผิด พอถูกจับได้ไล่ทันก็สร้างเรื่องว่าถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้าย เป็นต้น นอกจากนั้นยังขยายขอบเขตไปถึงความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น เชื่อว่าบาป-บุญ คุณ-โทษ นรก-สวรรค์ไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วกลับได้ดี เป็นต้น


          ผู้ที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติเช่นนี้ ย่อมเปิดช่องให้ทำความชั่วได้โดยง่าย และถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะพฤติกรรมทั้งหมดของคนเรา ล้วนแล้วแต่ออกมาจากความรู้สึกนึกคิดทั้งสิ้น


          ในพระบาลี จึงมีพระพุทธพจน์เตือนใจเราไว้ว่า “จิตที่บุคคลตั้งไว้ผิด กระทำอันตรายได้มากกว่าศัตรูผู้มุ่งร้ายต่อเรา”  ทั้งนี้เพราะศัตรู ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ทำอันตรายเราเพียงชั่วครั้งชั่วคราว และเราเองก็สามารถหาทางป้องกันได้  ขณะที่จิตที่ตั้งไว้ผิดนั้นทำอันตรายตลอดชีวิต แม้นตายไปแล้ว ก็ยังสามารถตามเราไปทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่เรายังไม่ละวางความเห็นผิดนั้น



 

33




คำสอนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

"คนไม่สนใจธรรม ธรรมก็ไม่เข้าถึงใจคน จึงกลายเป็นคนก็สักว่าคน

ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมาก

และแสดงธรรมให้ฟังทั้งพระไตรปิฏก จึงเป็นเหมือนเทน้ำใส่หลังหมา

มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคน

เหมือนน้ำไม่มีความหมายบนหลังหมา ฉันนั้น"




ที่มา http://www.pranippan.com

34



การสั่งสอนญาติโยมชาวบ้านหนองผือของท่านพระอาจารย์มั่นในสมัยนั้น
ส่วนมากท่านจะเน้นให้ญาติโยมสมาทานศีลห้าเป็นหลัก ส่วนศีลแปดหรือศีล
อุโบสถ ท่านไม่ค่อยจะเน้นหนักเท่าไหร่ท่านกล่าวว่า ศีลห้าเหมาะสมที่สุด
สำหรับฆราวาสญาติโยมผู้ครองเรือน ถ้างดเว้น ตลอดไปไม่ได้ก็ขอให้งดเว้น
ให้ได้ในวันพระวันศีล สำหรับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นท่านบอกว่า " สัตว์ที่มีบุญ
คุณนั้นห้ามเด็ดขาด " นอกจากนั้นท่านกล่าวว่า " จะงดเว้นไม่ได้ดอกหรือ
เพียงวันสองวันเท่านั้น การกินในวันรักษาศีลจะกินอะไรก็คงได้ ไม่จำ
เป็นต้องเป็น สัตว์ที่ฆ่าเอง แค่นี้ทำไม่ได้หรือ ไม่ตายดอก... "


สำหรับการขอศีลนั้น ท่านไม่นิยมนิยมให้ขอ และท่านก็ไม่เคยให้ศีล
( ตอนอยู่หนองผือ ) ท่านให้ใช้วิธีรัติงดเว้นเอาเลย ไม่ต้อง ไปขอจากพระซ้ำ ๆ
ซาก ๆ ผู้ใดมีเจตนาจะรักษาศีลจะเป็นศีลห้า ศีลแปดก็ตาม ให้ตั้งอกตั้งใจเอา
เลย แค่นั้นก็เป็นศีลได้แล้ว และการ ถวายทานในงานบุญต่าง ๆ ท่านก็ไม่นิยม
ให้กล่าวคำถวายเช่นกัน ท่านอธิบายว่า

" บุญนั้นผู้ถวายได้ถวายได้แล้ว
สำเร็จแล้วตั้งแต่ตั้งใจ หรือเจตนาในครั้งแรก ตลอดจนนำมาถวาย
สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก เพียงแต่ตั้งเจตนาดีเป็นกุศลหวังผล
คือความสุข การพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเท่านี้ก็พอแล้วนั่นมันเป็นพิธีการ
หรือกฏเกณฑ์อย่างหนึ่งของเขา ไม่ต้องเอาอะไรทุกขั้นทุกตอนดอก "

ครั้งนั้นมีศรัทธาญาติโยมจากสกลนคร เขาเป็นคนเชื้อสายจีน มีชื่อว่า
เจ๊กไฮ แซ่อะไรนั้นเขาไม่ได้บอกไว้ เขามีความลื่อมใส ศรัทธาในองค์ท่านพระ
อาจารย์มั่นมาก ขอเป็นเจ้าภาพกฐินในปีนั้น เมื่อถึงเวลากำหนดกรานกฐินแล้ว
จึงได้ตระเตรียมเดินทางมาพัก นอนค้างคืนที่บ้านหนองผือหนึ่งคืน โดยพัก
บ้านของทายกวัดคนหนึ่ง เพื่อจะได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานสำหรับไปจังหัน
ตอนเช้าด้วย พอเช้าขึ้นพวกเขาจึงพากันนำเครื่องกฐินพร้อมกับเครื่อง
ไทยทานอาหารต่างๆ เหล่านั้นไปที่วัด เมื่อถึงวัดล้างเท้าที่หัวบันไดแล้วพากัน
ขึ้นบนศาลาวางเครื่องของ คุกเข่ากราบพระประธาน แล้วจึงรวบรวมสิ่งของ
เครื่องผ้ากฐิน พร้อมทั้งของอันเป็นบริวารต่างๆ วางไว้ที่หน้าพระประธานใน
ศาลา

ส่วนเจ๊กไฮ ผู้เป็นหัวหน้านำผ้ากฐินมานั้น เมื่อวางจัดผ้ากฐินพร้อมทั้งของ
อันเป็นบริวารต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว นั่งสักครู่ เห็นว่ายังไม่มีอะไร จึงพากันกราบ
พระประธาน ( เจ๊กไฮ ก็กราบเหมือนกัน ท่าทางเหมือนคนจีนทั่วไปเขากราบนั่น
แหละ ) แล้วเขาก็ลง จากศาลาไปเดินเลาะเลียบชมวัดวาอารามเฉยอย่าง
สบายอารมณ์ จนกระทั่งพระเณรกลับจากบิณฑบาตรแล้ว ขึ้นบนศาลาเตรียม
จัด แจงอาหารลงบาตรจนเสร็จสรรพเรียบร้อยทุกองค์ ท่านพระอาจารย์มั่นจึง
ให้เรียกเจ๊กไฮมาเพื่อจะได้อนุโมทนารับพรต่อไป แต่เจ๊กไฮ ก็ไม่มารับพรด้วย
มีคนถามเขาว่า " ทำไมไม่รับพรด้วย

" เขาบอกว่า " อั๊วได้บุญแล้ว ไม่
ต้องรับพรก็ได้ การกล่าวคำถวายก็ไม่ต้องว่า เพราะอั๊วได้บุญตั้งแต่อั๊ว
ตั้งใจจะทำบุญทีแรกแล้ว ฉะนั้นอั๊วจึงไม่ต้องรับพรและคำกล่าวถวาย
ใดๆ เลย "

ภายหลังฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นได้พลิกวิธีคำว่าผ้า
กฐินมาเป็นผ้าบังสุกุลแทน ท่านจึพิจารณากองผ้ากฐิน เป็นผ้าบังสุกุล เสร็จ
แล้วท่านได้เทศน์ฉลองยกย่องผ้าบังสุกุลของเจ๊กไฮเป็นการใหญ่เลย
ท่านกล่าวถึง

ผ้ากฐินนั้นได้รับอานิสงส์น้อยเพียง แค่ ๔ เดือนเท่านั้นไม่เหมือนกับผ้า
บึงสุกุลซึ่งได้อานิสงส์ตลอดไป คือ ผู้ใช้สามารถใช้ได้ตลอดไม่มี
กำหนดเขตใช้จนขาดหรือใช้ไม่ได้จึง จะทำอย่างอื่นต่อไป และสุดท้าย
ท่านกล่าวอีกว่า " ใครทำบุญก็ไม่เหมือนเจ๊กไฮทำบุญ เจ๊กไฮทำบุญได้
บุญมากที่สุด พรเขาก็ไม่ต้องรับ คำถวายก็ไม่ต้องว่าเขาได้บุญตั้งแต่
เขาออกจากบ้านมา บุญเขาเต็มอยู่แล้ว ไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน บุญ
เป็นนามธรรมอยู่ที่ใจ อย่างนี้จึงเรียกว่า ทำบุญได้บุญแท้.. "


ทุกคนที่ไปกฐินในครั้งนี้ต่างก็มีความปลาบปลื้มปีติในธรรมะ ที่ท่านกล่าว
ออกมาซึ่งล้วนแต่มีเหตุผลที่แปลกใหม่ ยังไม่เคย ได้ยินได้ฟังมาจากที่อื่นเลย
โดยเฉพาะกับเจ๊กไฮผู้เป็นเจ้าภาพยิ่งมีความปลื้มปีติมากกว่าเพื่อน เพราะสิ่งที่
เขาได้ทำไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ ถูกต้องเป็นที่พออกพอใจของครูบาอาจารย์ที่เขา
เคารพเลื่อมใส จึงเป็นที่ตรึงตราใจของเขาไปจนตลอดสิ้นชีวิตและได้เป็นเรื่อง
เล่าขาน กันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้


ขอขอบคุณที่มา - - < Phra Ajaan Mun Bhuridatta Mahathera >

35
ไฮโปคอนดิเอซีด (Hypochondriasis) เป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการหมกมุ่นในเรื่องสุขภาพของตัวเองเกินไป กลัวอยู่ตลอดเวลาว่า จะป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรือมีโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคไต เอดส์ ไมเกรน โรคหัวใจ โรคปอด เป็นต้น แฝงอยู่

ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอวัยวะภายในร่างกาย โดยเฉพาะที่ศีรษะ คอ ท้อง และหน้าอกทำงานผิดปกติไปจากเดิม ทั้งที่จริง ๆแล้วความเจ็บป่วยอาจจะไม่มีอยู่จริง หรืออาจจะมีแต่เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม มึนงง ปวดศีรษะ ท้องอืด ปัสสาวะบ่อย เป็นต้น แต่ผู้ป่วยจะจับอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ของร่างกายมาคิดเป็นเรื่องใหญ่โต และไปหาแพทย์เพื่อขอรับการรักษา

อาการ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดปกติทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ผู้ป่วยไม่ได้แกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนใกล้ชิดแต่อย่างใด เขารู้สึกว่าตัวเองปวดจริงๆ แต่ว่าสาเหตุที่ทำให้ปวดไม่มีจริง เหมือนคนไข้บอกหมอว่า ได้ยินเสียงแว่วๆ หมอก็บอกว่า หมอเชื่อว่าคุณได้ยินจริงๆ แต่เสียงนั้นไม่มีอยู่จริง

" คนไข้กลุ่มนี้ มักไปพบแพทย์หลายแห่ง ตรวจหลายอย่าง แต่แม้จะได้การยืนยันจากแพทย์แล้วว่า ไม่พบโรคหรือความผิดปกติใด ๆ แต่ผู้ป่วยจะยังเชื่อว่า ตนป่วยเป็นโรคที่แพทย์ยังตรวจไม่พบอยู่อีก"




สังเกตโรคสังเกตอาการ

หากสังเกตตัวเอง และคนรอบข้างพบว่า มีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีดค่อนข้างสูง

1. มีความคิด หรือหมกมุ่นอยู่กับความกลัวว่าตนเองจะป่วยด้วยโรคร้ายแรงอยู่ตลอดเวลา

2. ความรู้สึกกังวลไม่หายไป แม้จะได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียด และได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่าไม่พบโรคนั้นแล้วก็ตาม

3. ความรู้สึกนี้ ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การงานเริ่มบกพร่อง ญาติพี่น้องเอือมระอา มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคม

4. เป็นมานานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน และมีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งกลัว ยิ่งเป็นโรคคิดไปเอง

1. เกิดจากการแปลความรู้สึกของร่างกายผิด เมื่อมีความผิดปกติของการทำงานในร่างกายเกิดขึ้น คนไข้กลุ่มนี้มักแปลความหมายของความผิดปกตินั้นร้ายแรงมากกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงมีความอดทนต่อความรู้สึกไม่ปกติของร่างกายต่ำกว่าคนปกติ

2. เกิดจากการใช้บทบาทของผู้ป่วย (Sick role) เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสถานการณ์ที่แก้ไขไม่ได้ ผู้ป่วยจะเรียนรู้ที่จะใช้บทบาทผู้ป่วยเพื่อเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นั้นๆ

3. เกิดจากโรคแทรกซ้อนทางจิตวิทยาอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า เครียด โรคกังวลไปทั่ว แต่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว จึงแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกมาไม่ถูก และคิดว่าตัวเองป่วย

4. เกิดจากความกดดันบางอย่าง เชื่อว่าผู้ป่วยขาดความภูมิใจในตนเอง และรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับ มีความผิดหวัง จึงใช้กลไกทางจิตชนิดที่เรียกว่าเก็บกด แสดงออกมาเป็นอาการผิดปกติทางกาย เพื่อปกปิดสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ

ตรวจสุขภาพกาย+ใจ ใช่หรือไม่โรคคิดไปเอง

อย่าง ไรก็ตามคนไข้ที่มาพบหมอด้วยอาการในขั้นต้น อาจไม่ได้เป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีดทุกคน ซึ่งก่อนที่เราจะสรุปว่าเขาเป็นโรคนี้หรือไม่ เราต้องมีการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุก่อน โดยมีแนวทางวินิจฉัยสองขั้นตอนคือ

วินิจฉัยแยกโรคทางกาย สามารถตรวจได้จากเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น โรคเอดส์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคผิดปกติทางต่อมไร้ท่อ โรคเอสแอลอี เป็นต้น

" ปกติคนไข้พวกนี้จะยินดีให้ความร่วมมือ เพราะเขาเองชอบมาโรงพยาบาลอยู่แล้ว จนเมื่อตรวจอย่างละเอียดแล้วไม่พบว่าป่วยเป็นโรคอะไร ก็จะนำผู้ป่วยเข้าสู่การตรวจวินิจฉัยทางจิตเวชเป็นลำดับต่อไป"

วินิจฉัยโรคทางจิตเวชอื่น ๆ บางทีคนไข้ที่มาหาหมอ อาจเป็นโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โรคไฮโปคอนดิเอซีด อาจเป็นโรคซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล รวมถึงโรคจิตเภทชนิดอื่น ๆ ซึ่งสามารถ รักษาได้โดยการใช้ยา แต่เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่า คนไข้ไม่ได้ป่วยด้วยโรคจิตเวชชนิดอื่น ๆ อย่างที่กล่าวมา เราจึงวินิจฉัยว่า คนไข้ป่วยเป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีด ซึ่งโรคนี้รักษาไม่หาย

เหตุผล ที่โรคนี้รักษาไม่หาย เป็นเพราะคนไข้ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยเป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีด แต่คิดว่าตัวเองป่วยด้วยโรคทางกายอื่นๆ จึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการรักษา นอกจากนี้คนที่เป็นโรคไฮโปคอนดิเอซีดมักมีการตอบสนองต่อการใช้ยาไม่ค่อยดี เนื่องจากเขาไม่ยอมรับ อย่างคนไข้บางคนที่เป็นโรคนี้ และมีความรู้มาก ศึกษามาเยอะ ก็จะต่อต้านการรักษาของหมอ

สารพัดวิธีดูแลผู้ป่วยใกล้ตัว

แนว ทางในการรักษาของแพทย์ที่ใช้รักษาโรคโรคไฮโปคอนดิเอซีดในปัจจุบันคือ การรักษาแบบจิตบำบัด โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเครียดของผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อให้เขาสามารถปรับตัว ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณภาพ และเหมาะสม ไม่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองจนมากเกินไป

นความ เป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องมาพบจิตแพทย์ก็ได้ แต่แค่ให้มีหมอสักคนคือหมอเวชปฏิบัติทั่วไปก็ได้ คอยรับฟังเขาพูดเรื่องความป่วยไข้อย่างน้อยเดือนละครั้ง และคอยปรามเวลาเขาจะขอตรวจพิเศษต่างๆที่ไม่จำเป็น คล้ายกับว่าพยายามใส่ใจในอาการป่วยของเขา อาการของคนไข้ก็จะทรงตัวไม่ป่วยด้วยโรคอื่นๆเพิ่ม

สิ่ง สำคัญที่ญาติๆผู้ป่วยควรทำความเข้าใจคือ ต้องพยายามเปลี่ยนทัศนคติ จากความรู้สึกรำคาญมาเป็นสงสารแทน เปลี่ยนจากโทสะมาเป็นเมตตา ต้องคิดอยู่ตลอดว่าเขาป่วย เขาต้องการเรา

ดูแลผู้ป่วยโรคคิดไปเองอย่างไรดี

ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น เช่น รำกระบอง เต้นแอโรบิค เป็นต้น

ปลูกต้นไม้ การได้เห็นสีเขียวของต้นไม้จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และอารมณ์ดีขึ้น

อ่าน หนังสือ เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือตลก นิยายที่เนื้อหาไม่หนักเกินไปนัก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ได้ความเพลิดเพลินแล้วยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย

หา โอกาสไปเที่ยว การได้ไปเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่ใหม่ ๆ สามารถลดความวิตกกังวลที่จากเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันที่ตกตะกอนอยู่ในใจ ได้ เช่น ไปทะเล ภูเขา น้ำตก เป็นต้น

ทำ กิจกรรมร่วมกับครอบครัว การพูดคุยปรึกษาหารือ ทานอาหารร่วมกัน ก็สามารถช่วยให้ความตึงเครียด วิตกกังวล และโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่ทุเลาลงได้

" โรคจิตเภทส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้โดยการทำความเข้าใจกับตนเอง คือ เราต้องมีความหยั่งรู้ในอารมณ์ของตัวเอง เช่น รู้ว่าเวลานี้ตัวเองวิตกกังวลไม่สบายใจ ก็บอกว่าตัวเองวิตกกังวล ไม่โกหกตัวเอง ยิ่งถ้าเรามีความหยั่งรู้ในตัวเอง เราก็จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวชน้อยลง"




ขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสารชีวจิต

36
รับสายลมเย็นหน้าระเบียง / Re: รู้จักกับ Vocaloid
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:42:00 am »
 :33:

โอ้โห...  มาเป็นชุด
*-* ตามฟังแทบไม่ทันเลยอ่ะ



37
 :13: ซับไทยแปลได้สละสลวยจังเลยเนอะ  ใช้คำดีจัง

' บาปไม่สามารถให้อภัยได้หรอก  ไม่ว่าจะยังไงเราก็เปลี่ยนแปลงธรรมชาติไม่ได้'




38


ต้นไม้บางชนิดมีรากลึก บางชนิดโค่นง่ายเพราะรากมันตื้น
เหมือนอย่างเช่นคนปฏิบัติพระกรรมฐานจิตใจไม่ลึก
จิตใจมันหละหลวมเหลาะแหละ
จิตใจมันเหลวไหลจึงล้มได้ง่าย
บ้านสร้างมาแล้ว ไม่ได้ตอกเสาเข็ม คานก็เล็ก
เราจะต่อตึกไปหลายๆ ชั้นก็คงจะไม่ได้
ถ้าเราทำคานแน่นหนา ทำหลักฐานแน่นหนา
ตอกเข็มให้แน่นให้ลึกลงไป
สามารถตอกสร้างตึกได้ถึง ๗ ชั้น ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น
ได้ตามกำหนดนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น
การเจริญพระกรรมฐานก็เช่นเดียวกันดังกล่าวแล้ว
เป็นการฝังจิตให้แน่น ทำให้เกิดความอดทน อดกลั้น
อดออม ประนีประนอมยอมความ
บุคคลนั้นจะได้มีหลักฐานแน่นอนที่สุด คือ การเจริญพระกรรมฐาน
ทำให้ฐานะดี แน่นหนาอดทน ไม่โกรธคนง่ายและไม่เกลียดคนง่าย
จะไม่ฝังใจเจ็บกับท่านผู้ใดเลย จะไม่ผูกความโกรธไว้ในใจต่อไป
จะไม่อิจฉาริษยาแน่นอน มันฝังแน่นเหมือนเรือนที่เราปลูกไปเช่นนั้น
เหมือนต้นไม้ที่มันเป็นแก่น มันจะมีรากลึกมาก เข้าในหลักพังเพยธรรมชาติ
...ทองคำต้องสู้ไฟ ไม้ใหญ่ต้องสู้ลม...

ท่านทั้งหลายเอ๋ย เอาทองเหลือง ทองแดง
ตะกั่ว มารวมกับทองคำแล้ว
ท่านลองเอาน้ำกรดราดลงไปสิ มันจะเหลือแต่ทองบริสุทธิ์
ฉันใดก็ฉันนั้น ทองคำเปรียบเหมือนความดี เหลือแต่ความดีเท่านั้น
ความชั่วเปรียบเหมือนทองแดง ทองเหลือง ต้องเผาด้วยน้ำกรด
เทียนที่ท่านจุดมันมีแสงสว่าง เพราะมันร้อนในตัวใช่ไหม
ความร้อนในตัวมันเผาให้เกิดแสงสว่าง
น้ำตาเทียนมันไหลเห็นชัดโดยธรรมชาติ
ยิ่งเผาน้ำตาเทียนยิ่งหลั่งไหลออกมา
โยมลองไปเห็นธรรมชาติที่อาตมาพูด ธรรมชาติหรือไม่
ถ้าไส้มันใหญ่ เทียนมันใหญ่
มันก็จะเผาหนักทำให้เกิดแสงสว่างมากขึ้น
แต่ถ้าไส้เป็น ๓ ไส้เล็กๆ
มันก็ไม่สามารถเผาให้มันเกิดความร้อนในตัว
ให้มันเกิดแสงสว่างได้เช่นเดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
เรามาเจริญพระกรรมฐาน ต้องการให้เกิดแสงสว่าง
เผาโลภะ โทสะ โมหะ เผากิเลส มันเหือดแห้ง
คือ ราคะ โทสะ โมหะ กามคุณ ๕ มันสยบลงไปเมื่อใด
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเหมือนเทียนฉันนั้น

ท่านทั้งหลายเอ๋ย โปรดพิจารณาโดยธรรมชาติอันนี้เถิด
ท่านจะเกิดปัญญา ท่านจะรอบรู้ในกองการสังขารของท่าน
ที่จะต้องเผากิเลสเป็นเหตุให้เกิดแสงสว่างนั้น คือ ตัวปัญญา
เหมือนท่านฝังรากจิตให้มันลึก ท่านจะไม่โค่น
ท่านจะแผ่กิ่งก้านสาขาให้คนอื่นมีร่มเงาอาศัยได้
ถ้ารากท่านสั้น จิตใจท่านต่ำ
ท่านจะไม่ได้เป็นที่พึ่งของใครเขาได้เลย
เป็นที่พึ่งพาให้กับลูกก็ไม่ได้
เป็นที่พึ่งพาให้กับญาติพี่น้องก็ไม่ได้
เหมือนต้นตาลที่ไม่มีกิ่งก้านสาขา
เลี้ยงลูกโตเหมือนต้นตาล เลี้ยงลูกโตด้วยข้าวสุก
หาความสนุกให้กับสังคมแล้วมันจะใช้ได้หรือ

ต้นไม้ธรรมชาตินี่แหละหนอถ้ามันฝังรากลึก
โยมโปรดรดน้ำพรวนดินเถิด
มันจะออกดอกออกใบให้เราผลิดอกออกผล
ให้เขาขายออกสู่ตลาดอย่างงาม เหมือนจิตใจของเรา
หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ หมั่นตั้งสติปัฏฐาน ๔ เจริญกุศลภาวนา
เรียกว่า รดน้ำใส่ปุ๋ย ต้นไม้ท่านจะงดงาม ท่านจะมีปัญญาใช่หรือไม่
ท่านคิดดูตรงนี้ได้หรือไม่
ท่านจะไปเอาญาณ ๑๖ นั่ง ๗ วัน
จะเดินระยะ ๖ แล้วให้ได้ญาณ ๑๖
เป็นพระโสดา โสดีก็ยังไม่ได้จะเป็นโสดาไปทำไม
แค่ตรงนี้ยังสกปรก จิตใจยังลามก หาความสกปรก เศร้าหมองใจ
ใจก็ไม่เสบย ขาดความสบาย
มีทั้งรักทั้งแค้น ทั้งแน่นในทรวง
ทั้งหึงทั้งหวงหนักหน่วงในหัวใจ
ไม่มีรักด้วยเมตตาเลย
รักกันด้วยกามคุณ หน้าตาสวยๆ ดี ก็จะรักกันดีจนตาย
รักกันอย่างไรเล่า มหานิยมคือเมตตา
แปลว่า ความปรารถนาดี
ลูกมีวิชาความรู้เป็นการนำวิชาการ นำแนวทางความคิดได้
แล้วก็นำทางปัญญาได้ ท่านถึงจะได้ความรู้ความคิด
ความมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถปฏิบัติการงานขยันถูกต้อง

การเจริญพระกรรมฐาน เป็นการตัดสินใจได้ถูกต้อง
แนวสติปัญญาแนวความคิด เป็นการตัดสินใจได้ดีมาก
ที่ท่านเจริญพระกรรมฐานนั้น
ท่านจะเสียใจต่อเมื่อท่านไร้สาระ ขาดสติสัมปชัญญะ ลดละภาวนา
แล้วท่านจะเสียใจ ท่านจะตัดสินใจผิดชีวิตท่านจะแร้นแค้น
ชีวิตท่านจะไม่มีแบบไม่มีแปลนและแผนผัง
ชีวิตท่านจะอเนจอนาถ น่าเสียดายที่เกิดมา
ในสากลโลกมนุษย์นี้โดยธรรมชาติแท้ๆ


ที่มาhttp://www.dhammajak.net/

39


ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงอยากรู้สึกดีๆ และอยากให้คนอื่น
รู้สึกดีๆกับตนเอง ความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เรามีพลัง
ในชีวิต และมีความสุขที่จะทำสิ่งต่างๆ

ลองมาดูวิธีสร้างความรู้สึกดีๆให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
และสร้างให้เกิดในความรู้สึกผู้อื่นกันดีกว่า

5 วิธี สร้างความรู้สึกดีๆ ให้แก่ตัวเอง

1.สำรวจตัวเอง

หาข้อดีในตัวคุณเอง ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก
รวมถึงอุปนิสัยข้างใน นำข้อดีเหล่านี้เป็นต้นทุน
ในการสร้างชีวิตทุกๆด้านให้ดีขึ้น ส่วนข้อด้อยของเรา
ก็ค่อยๆแก้ไขกันไป เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคขัดขวาง
ความสุขและความก้าวหน้าในชีวิต


2.ให้กำลังใจตัวเอง

คนขาดกำลังใจจะไม่มีแรงสู้และย่อท้อง่าย
พึงระลึกว่า ใครๆก็ต้องเจออุปสรรค
ปัญหามีทั้งหนักและเบา หากเราเผชิญหน้า
และผ่านพ้นไปได้ จะทำให้เรามีกำลังใจในชีวิตเพิ่มขึ้น

3.มั่นใจในตัวเอง

หากไม่มีความมั่นใจ ชีวิต คงหมดโอกาสที่จะ
ก้าวไปข้างหน้า เสริมความมั่นใจของเรา
ด้วยการหาความรู้ และเพิ่มเติมความชำนาญ
คิดไว้ว่าเรื่องดีๆ ถ้าลงมือทำเต็มที่แล้ว
ย่อมไม่มีอะไรเสียหาย

4.มีความหวัง

ความหวังทำให้ใจเราสว่างไสว
คิดอยากทำอะไรก็ทำให้เรารู้สึกดีๆได้

5.รักความท้าทาย

ความท้าทายทำให้คนเราตื่นตัว เมื่อได้ลองทำ
นู่นนี่ใหม่ๆ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์เรา
กลายเป็นนักสู้ นักเรียนรู้ และเป็นผู้ชนะ
โดยเฉพาะเรื่องของอุปสรรคและความจำเจ

5 วิธี ทำให้คนอื่นรู้สึกดีกับตัวเรา

1.มีมิตรจิตมิตรใจ นึกถึงความรู้สึกของกันและกัน ระมัดระวังคำพูด
และการกระทำ จะทำให้เรารู้สึกสนิทใจ
ในการคบหากัน หากคบใคร อย่าลืมให้ความจริงใจ
กับเขา และนึกถึงเขาให้มากๆ

2.สุภาพอ่อนน้อม

ท่าทางที่สุภาพ สื่อถึงความเคารพที่เรามีให้กัน
ความสุภาพทำให้คนอื่นเคารพ ส่วนความอ่อนน้อม
จะทำให้คนอื่นรัก และสองสิ่งนี้จะเพิ่ม
ความรู้สึกดีๆที่เรามีให้แก่กัน

3.เสมอเสมอต้นเสมอปลาย

อย่าทำให้ใครรู้สึกดีๆกับเราเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ต้องรู้สึกดีเสมอตลอดไป ห่างกันไป
กลับมาเจอกันใหม่ความน่ารักก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

4.ใจกว้าง

ใจกว้างในที่นี้หมายถึงการเปิดรับคนทั่วไป
ทุกเพศ วัย การศึกษา ชนชั้น ว่าเราทุกคน
ต่างก็เท่าเทียมกัน รวมถึงยอมรับ เคารพ และเรียรู้
ที่จะอยู่ด้วยกันบนความเข้าใจและให้เกียรติ
รับฟ้งความเห็นแตกต่าง ให้อภัยในความผิดพลาด
และให้โอกาสในการแก้ไข

5.สื่อสารดีมีประสิทธิภาพ

เริ่มตั้งแต่การพบครั้งแรก ควรระมัดระวังคำพูด สีหน้า
ท่าที และต้องรู้จักสื่อสารสุภาพ ชัดเจน ไม่ห้วน
กวนประสาท โป้ปด รวมถึงคนที่พูดน้อย
หรือไม่พูดเลย จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเข้าใจยาก

ฟังดูไม่ยากเลยใช่มั๊ยคะ ถ้าเพียงแต่เราได้ลงมือทำ
เริ่มกันเลยดีมั๊ย เพื่อคนรอบข้างและเพื่อตัวคุณเอง

ขอขอบคุณที่มา
ที่มา : นิตยสาร First ฉบับที่ 32 เดือนมีนาคม 2552
อ้างอิงใน “www.penbunemag.com

40
  อุบาสก
                   นิยมนั่งคุกเข่าหรือนั่งพับเพียบ ประนมมือเยื้องด้านใดด้านหนึ่งพอประมาณสนทนากับพระภิกษุเพื่อ
       แสดงถึงความเคารพ  หากกรณีจำเป็นเร่งด่วน เช่น ต้องการรายงานเรื่องต่าง ๆที่ไม่ต้องใช้เวลามากหรือไม่
       สะดวกที่จะนั่งอันอาจเนื่องมาจากพื้นที่ไม่อำนวยต่อการนั่งสนทนาก็ ให้ยืนประนมมือค้อมตัวด้วยท่าทางสุภาพ
       สำรวมท่วงท่ากิริยาสำรวม(ดังรูป)


   อุบาสิกา
                    นิยมนั่งคุกเข่า หรือนั่งพับเพียบ ประนมมือ เยื้องด้านใดด้านหนึ่งพอประมาณสนทนากับพระภิกษุ ไม่
       นิยมยืนสนทนาระยะในการนั่งควรเว้นช่วงห่างพอสมควร พอให้ได้ยินการสนทนาโต้ตอบอย่างชัดเจน (ดังรูป)



การรับสิ่งของจากสงฆ์


 ขณะพระยืนอยู่หรือนั่งบนอาสนะสูง

      ๑. เดินเข้าไปด้วยกิริยาอาการสำรวม ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ให้ใกล้พอยื่นมือเข้าไปรับสิ่งของได้พอดีอย่างสบาย ๆ
      ๒. ยืนตรงน้อมตัวลงยกมือไหว้ และยื่นมือทั้งสองเข้าไปรับ พร้อมกับน้อมตัวลงเล็กน้อยสำหรับผู้ชายรับสิ่งของ
           จากมือพระภิกษุได้เลย ส่วนผู้หญิงแบมือทั้งสองชิดกันคอยรองรับสิ่งของที่พระภิกษุจะ (ปล่อยจากมือ) วาง
           ลงไป หรือรับของที่ท่านวางไว้บนผ้ารับประเคนที่ท่านจับอยู่
      ๓. เมื่อรับสิ่งของแล้ว ถ้าสิ่งของนั้นเล็ก นิยมน้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับสิ่งของในมือ ถ้าสิ่งของที่รับนั้นใหญ่            หรือหนักไม่ต้องยกมือไหว้ ให้ก้าวเท้าซ้ายถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวชักเท้าขวามาชิดแล้วหันหลังเดินกลับไป ได้

ขณะพระสงฆ์นั่งเก้าอี้

  ๑. เดิน เข้าไปด้วยกิริยาอาการสำรวม เมื่อเข้าใกล้ประมาณ ๒ ศอก แล้วยืนตรง ก้าวเท้าขวาออกไปหนึ่งก้าว            แล้วนั่งคุกเข่าซ้าย ชันเข่าขวาขึ้น น้อมตัวยกมือไหว้ แล้วยื่นมือทั้งสองออกไปรับสิ่งของ
      ๒. เมื่อรับสิ่งของแล้ว ถ้าสิ่งของเล็ก นิยมน้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับสิ่งของที่อยู่ในมือ ถ้าสิ่งของใหญ่หรือ
           หนัก นิยมวางไว้ข้างตัวด้านซ้ายมือ น้อมตัวลงไหว้แล้วจึงยกสิ่งของนั้นด้วยมือทั้งสอง ชักเท้าขวากลับมา
           ยืนตรง ก้าวเท้าซ้ายถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วชักเท้าขวาชิดหันหลังกลับเดินไปได้


ขณะพระสงฆ์นั่งกับพื้น

      ๑. เดินเข้าไปด้วยกิริยาอาการสำรวม เมื่อถึงบริเวณปูอาสนะไว้ นั่งคุกเข่าลงเดินเข่าเข้าไปเมื่อถึงที่ ประมาณ
          ศอกเศษ นั่งคุกเข่า (ตามเพศ) กราบ ๓ หน ยื่นมือทั้งสองออกไปรับของ
      ๒. เมื่อรับแล้วนิยมวางของไว้ด้านขวา กราบ ๓ ครั้ง แล้วหยิบสิ่งของนั้นถือด้วยมือทั้งสอง ประคองเดินเข่าถอยหลัง
           ออกไปจนสุดบริเวณปูอาสนะไว้ แล้วลุกขึ้นยืน
      ๓. การเดินเข่านิยมตั้งตัวตรง ถ้าไม่ถือของมือห้อยข้างตัว ถ้าถือของประคองไว้ระดับอกศอกทั้งสอง แนบชิด
           ชายโครง ร่างกายส่วนบนไม่โยกเอียงซ้ายขวา เคลื่อนไหวเฉพาะร่างกายส่วนล่าง เส้นทางเดินเข่านิยมให้
           ตรงทั้งเข้าไปและตรงออกมา



ที่มา http://www.kalyanamitra.org/culture/index27.html

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15