แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - mmm

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7
1


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโทษของการเป็นชู้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงช้างเผือกเสด็จเลียบพระนคร ได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงงามนางหนึ่งยืนอยู่ชั้นบนของปราสาท 7 ชั้น ทรงมีพระทัยเสน่หาในนางขึ้นมาทันที พระองค์ได้ทรงพยายามหาวิธีการที่จะได้นางมาเป็นบาทบริจาริกา เมื่อทรงทราบว่านางเป็นหญิงมีสามีแล้ว ก็ได้มีพระบัญชานำชายผู้เป็นสามีของนางมาเป็นคนใช้อยู่ในพระราชวัง ต่อมาพระองค์ได้รับสั่งชายให้คนนี้เดินทางไปทำงานอย่างหนึ่งอันเป็นงานที่ ไม่มีทางจะทำได้สำเร็จได้ โดยรับสั่งให้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 12 ไมล์ แล้วให้ไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณจากนาคพิภพกลับมาถวายพระองค์ที่กรุงสาวัตถีในเย็นวันเดียวกัน ให้ทันเวลาสรงสนานของพระองค์ ทั้งนี้โดยพระองค์มีพระราชประสงค์จะสังหารชายผู้นี้หากเขากลับมาไม่ทันเวลา แล้วริบเอาภรรยาของเขามาเป็นบาทบริจาริกาของพระองค์ ชายผู้เป็นสามีรีบไปนำกล่องอาหารจากภรรยาแล้วออกเดินทางไปแสวงหาสิ่งที่พระราชาทรงต้องการในทันที ในระหว่างทางเขาได้แบ่งอาหารให้แก่เพื่อนร่วมทาง และเขาก็ยังแบ่งข้าวจำนวนหนึ่งโยนลงไปเลี้ยงปลาในน้ำ แล้วร้องตะโกนขึ้นว่า ? ข้าแต่เทพยดาและนาคทั้งหลายผู้สถิตอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ พระราชาปเสนทิโกศลมีพระราชบัญชาให้ ข้าพเจ้าไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณกลับไปถวายพระองค์ วันนี้ข้าพเจ้าได้แบ่งปันอาหารให้แก่เพื่อนร่วมทางของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ยังได้นำอาหารเลี้ยงปลาในแม่น้ำแล้วด้วย บัดนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พวกท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงได้เมตตาไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด? พระยานาค เมื่อได้ยินคำประกาศของชายผู้นั้นแล้ว ก็ได้แปลงร่างเป็นชายชราไปนำดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณมาให้ชายผู้นั้น

ในเย็นวันนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเกรงว่าชายหนุ่มอาจจะกลับมาทันเวลา จึงได้มีรับสั่งให้ปิดประตูเมืองก่อนกำหนด เมื่อชายหนุ่มเดินทางมาถึงและพบว่าประตูเมืองปิดเช่นนั้น ก็ได้โยนดินอรุณไว้บนกำแพงเมืองและแขวนดอกโกมุทและดอกอุบลไว้บนธรณีประตู จากนั้นเขาได้ตะโกนประกาศออกมาดังๆว่า ? ชาวเมืองผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงรับทราบเถิดว่า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบ หมายจากพระราชาสำเร็จลุล่วงแล้ว พระราชาทรงมีแผนที่จะฆ่าข้าพเจ้าด้วยเหตุไม่สมควร? หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินทางจากประตูวังไปที่วัดพระเชตวันเพื่อจะลี้ภัยและ ก็พบว่าบรรยากาศในวัดมีความสงบร่มรื่นดียิ่งนัก

ขณะเดียวกัน ข้างพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความกระสันด้วยแรงกามราคะ จนไม่สามารถหลับพระเนตรลงได้ ทรงครุ่นคิดหาวิธีที่จะสังหารชายหนุ่มในตอนเช้าแล้วยึดภรรยาของเขามาเป็นบาทบิจาริกาของพระองค์ เมื่อถึงเที่ยงคืนพระองค์ก็ได้สดับเสียงประหลาดว่า ทุ. ส. น. โส. ซึ่งความจริงแล้วเป็นเสียงของพวกเปรต 4 ตนที่เสวยทุกข์ทรมานอยู่ในนรกชั้นโลหกุมภี เมื่อได้ทรงสดับเสียงประหลาดนี้แล้วก็ทรงมีพระทัยหวาดหวั่น เมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่พระองค์ได้ทรงสอบถามปุโรหิตถึงเรื่องนี้ ปุโรหิตได้ทูลว่าจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตแก่พระองค์ จะต้องหาทางแก้ด้วยการบูชายัญ แต่ต่อมาพระองค์ได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระศาสดาโดยคำกราบทูลของพระนางมัลลิการาช เทวี เมื่อพระศาสดาสดับเรื่องเสียงประหลาดเหล่านั้นแล้ว ทรงอธิบายแก่พระราชาว่าเป็นเสียงของเปรต 4 ตนที่เกิดอยู่ในโลหกุมภีนรก เปรต 4 ตนเหล่านี้เคยเกิดเป็นชายหนุ่มลูกเศรษฐีในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ และได้ตกนรกชั้นโลหกุมภีเพราะประกอบกรรมชั่วเป็นชู้สู่สมกับภรรยาของชายอื่น พระราชาสดับแล้วก็เกิดความสังเวชพระทัยและทรงเกิดความตระหนักถึงผลกรรมชั่ว ร้ายที่จะบังเกิดจากการเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น และตัดสินพระทัยว่า ?จำเดิมแต่นี้ไป เราจักไม่ผูกความพอใจในภรรยาของชายอื่น? เพราะว่า ?แค่เราได้แต่คิดว่าจะเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่นก็มีความทุกข์ทรมานใจจนนอน ไม่หลับ ตลอดทั้งคืน?

จากนั้นพระราชาได้กราบทูลพระศาสดาว่า ?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทราบความที่ราตรียาวนานในวันนี้ ? ข้างชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั้น ได้กราบพระศาสดาว่า ?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาทรงทราบความที่ราตรียาวนานในวันนี้ ส่วนข้าพระองค์เองได้ทราบความที่หนทางแค่โยชน์เดียวไกลมากในวันวาน?

พระศาสดาทรงนำถ้อยคำของพระราชาและของชายหนุ่มนั้นมาผสมผสานกัน แล้วตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 60 ว่า

ทีฆา ชาครโต รตฺติ ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ

ทีโฆ พาลาน สํสาโร สทฺธมฺมํ อวิชานตํฯ

กลางคืนยาว นานมาก สำหรับคนที่นอนไม่หลับ ระยะทางแค่โยชน์เดียวไกลมาก สำหรับผู้ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว สังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) เนิ่นนานมาก สำหรับคนพาลที่ไม่รู้สัจธรรม.

เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนา ชายหนุ่มได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ชนเหล่าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ก็ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.


กราบขอบพระคุณที่มา :: วัดป่าโนวิเวก



ขอขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=39805

2
กฏแห่งกรรม-ชาติภพ / กรรมของคนฆ่าพระ
« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2012, 08:29:03 pm »
กรรมของคนฆ่าพระ


การเดินทางไกลในสังสารวัฏเพื่อข้ามไปสู่ฝั่งแห่งอมตมหานิพพาน ซึ่งเป็นที่สุดของการเดินทาง และเป็นที่สุดของการแสวงหานั้น จำเป็นจะต้องมีเสบียงคือบุญ เป็นเครื่องสนับสนุนเครื่องหล่อเลี้ยงให้เราได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย บุญกุศลเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องสั่งสมเอาไว้ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้โอกาสในการสร้างบุญสร้างบารมี ก็จงอย่าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย เพราะบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเรา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า บุญจะสนับสนุนให้เราได้บรรลุจุดหมายปลายทางไปถึงที่สุดแห่งธรรม ดังนั้นให้รีบขวนขวายในบุญกุศลกัน
 
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
 
                         “ยาวเทว อนตฺถาย       ญตฺตํ* พาลสฺส ชายติ
                          หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ    มุทฺธํ อสฺส วิปาตยํ
 
     ความรู้เมื่อเกิดแก่คนพาล ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายเท่านั้น ความรู้นั้นย่อมยังปัญญาของเขาให้ตกไป และฆ่าสุกธรรมของคนพาลเสีย”
 

     ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีความจำเป็นต้องอาศัยปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงขันธ์ ๕ หรือสังขารร่างกายของเรานี้ ทำให้เราต่างต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆ ต้องเหน็ดเหนื่อยทนลำบากตรากตรำ เพื่อหาสิ่งเหล่านี้มาบำรุงหล่อเลี้ยงสังขารให้เป็นอยู่อย่างสุขสบาย ดังนั้นเมื่อเรามีชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว  จำเป็นต้องแสวงหาอุปกรณ์ที่จะช่วยในการแสวงหาปัจจัย ๔ ให้เกิดขึ้นมาโดยง่าย สิ่งที่อำนวยความสะดวกตรงนี้เรารู้จักดีนั่นก็คือ ความรู้และความสามารถ ผู้รู้ท่านเรียกว่า ศิลปะ 
 
     การมีศิลปะ คือความเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในวิชาความรู้ต่างๆ แล้วสามารถนำเอาความรู้ความสามารถนั้นไปประกอบธุรกิจการงานเลี้ยงชีพได้ ศิลปะนี้มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์เช่นกัน สามารถพลิกผันชีวิตของผู้นั้นได้ ถ้ามีศิลปะควบคู่กับจิตใจที่ดีงามมีความรู้คู่คุณธรรมก็จะทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้มาก แต่ถ้าเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นกับคนพาลก็มีแต่จะนำความพินาศย่อยยับมาให้ทั้งแก่ตนเองและคนส่วนใหญ่
 
     ธรรมดาของคนพาลมักจะแสวงหาความรู้แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด ท้ายที่สุดการกระทำของตนเองนั้นจะเป็นเหตุให้ตนต้องประสบกับความทุกข์ในปัจจุบันชาติ และยังต้องเสวยผลกรรมในเวลาที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นศิลปะของคนพาลจึงเป็นเหมือนศิลปะอาบยาพิษ ดังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
 
     * มีอยู่คราวหนึ่ง ที่พระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เลิศด้วยฤทธิ์พร้อมกับพระลักขณเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อไปบิณฑบาตโปรดสรรพสัตว์ ท่านมองไปรอบๆ แล้วกระทำการยิ้มแย้ม พระลักขณเถระสังเกตเห็นอาการของท่าน จึงถามสาเหตุของการแย้มนั้น ก็ได้รับคำตอบว่า ให้ไปถามอีกครั้งในสำนักของพระพุทธองค์เถิด หลังจากบิณฑบาต พระเถระทั้งสองเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระลักขณเถระจึงถามเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะจึงเล่าให้ิฟัง โดยมีพระบรมศาสดาประทับนั่งเป็นสักขีพยานว่า
 
     "ขณะที่ลงมาจากเขา ท่านได้เห็นเปรตตนหนึ่งมีอัตภาพใหญ่โตประมาณ ๓ คาวุต ถูกค้อนเหล็ก ๖ หมื่นอัน ที่มีไฟติดลุกโพลง ตกลงมากระหน่ำศีรษะของเปรตนั้น ค้อนเหล็กได้ทุบศีรษะของเปรตจนแตกกระจาย แล้วศีรษะที่แตกกระจายนั้นก็รวมกันขึ้นใหม่อีก แล้วก็ถูกค้อนทุบแตกกระจายไปอีก เปรตร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส"
 
     พระบรมศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพระเถระแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เปรตตนนี้เราเห็นตั้งแต่ตรัสรู้ ครั้งเมื่อนั่งอยู่ที่โพธิมณฑล แต่เราไม่ได้บอกกับใคร เพราะถ้าเราบอกไปแล้วไม่มีใครเชื่อ ความไม่เชื่อนั้นจะเป็นกรรมติดตัวพวกเขาไป แต่วันนี้เราเป็นพยานของโมคคัลลานะ จึงบอกได้”
 
     เห็นได้ว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมครูของพวกเราทั้งหลาย พระองค์ท่านจะตรัสอะไร ยังต้องใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน เพราะอยากจะให้ถ้อยคำที่ตรัสออกไปเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟัง ภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุพกรรมของเปรต พระองค์จึงตรัสเล่าให้ฟังว่า "ในอดีตกาล มีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่งเก่งมาก มีศิลปะในการดีดก้อนกรวด สามารถที่จะใช้ก้อนกรวดดีดไปที่ใบไม้ให้เป็นรูปอะไรก็ได้ จะเป็นช้าง ม้า ทำได้หมด ท่านใช้วิชานี้เลี้ยงชีพ โดยการดีดก้อนกรวดให้เด็กๆ ดู แล้วก็ได้ของกินของใช้จากเด็กเหล่านั้น
 
     มีอยู่วันหนึ่ง พระราชาเสด็จผ่านมาประทับใต้ต้นไทร เห็นเงาของใบไม้เป็นรูปต่างๆ กระทบพระวรกายของพระองค์ จึงถามว่าเป็นฝีมือของใคร เมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของบุรุษเปลี้ย พระองค์ท่านเลยรับสั่งให้ไปสนองงานบางอย่างในพระราชวัง บุรุษเปลี้ยผู้นี้รับสนองพระราชโองการเป็นที่พอพระทัยมาก จึงได้รับพระราชทานทรัพย์สมบัติมากมาย
 
     ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถ แล้วนำไปใช้ได้เต็มที่ตามความต้องการของผู้บังคับบัญชา ซึ่งไม่ผิดศีลผิดธรรม ก็ย่อมนำแต่ความสุขความสำเร็จมาสู่ตนเองและครอบครัว  ในคราวนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง เห็นบุรุษเปลี้ยได้ทรัพย์สมบัติมากมายจึงคิดว่า คนง่อยเปลี้ยแต่อาศัยศิลปะดีดก้อนกรวด ก็ประสบความสำเร็จในชีวิต แม้ตัวเราก็ควรจะเรียนไว้ จึงเข้าไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ครั้งแรกบุรุษเปลี้ยเห็นว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนนิสัยไม่ดี ถ้าสอนศิลปะนี้ให้ไป ก็มีแต่จะทำความพินาศย่อยยับให้เกิดขึ้นกับตนเอง จึงห้ามเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจ เข้าไปปรนนิบัติรับใช้ ทำให้พออกพอใจ จนบุรุษง่อยเปลี้ยรู้สึกสำนึกในบุญคุณ จึงตัดสินใจถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่มีอยู่ให้ไป
 
     เมื่อเรียนสำเร็จแล้ว บุรุษเปลี้ยถามลูกศิษย์ตนเองว่า "ท่านเรียนจบหลักสูตรแล้ว จะไปทำอะไรต่อล่ะ" ลูกศิษย์บอกว่า "ผมจะทดสอบความรู้ความสามารถดูเสียก่อน" อาจารย์ถามต่อว่า "เธอจะไปทำอย่างไร" ผมจะดีดแม่โคหรือมนุษย์ให้ตาย" อาจารย์เลยเตือนว่า "ถ้าเธอฆ่าแม่โค จะถูกปรับเสียเงิน ๑๐๐ กหาปณะ เมื่อฆ่ามนุษย์จะถูกปรับ ๑,๐๐๐ กหาปณะ เธออย่านำศิลปะนี้ไปรังแกสัตว์อื่นเลย"

     ลูกศิษย์หนุ่มไม่ยอมเชื่อ แต่ก็คิดว่าจะฆ่าสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ถึงจะไม่โดนปรับ เมื่อเดินไปพบพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งกำลังเดินเที่ยวบิณฑบาต จึงคิดว่า พระสมณะรูปนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เอาล่ะ เราจะทดสอบศิลปะกับพระสมณะรูปนี้แหละ จึงดีดก้อนกรวด เล็งช่องหูเบื้องขวาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก้อนกรวดเข้าไปโดนช่องหูข้างขวา ทะลุออกช่องหูข้างซ้าย  ทุกขเวทนาแสนสาหัสได้เกิดขึ้นกับท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่สามารถเที่ยวบิณฑบาตต่อไปได้ จึงเหาะกลับไปพักที่บรรณศาลา ในที่สุดก็ต้องปรินิพพาน เพราะการกระทำของชายหนุ่มคนนั้น
 
     สาธุชนที่เคยใส่บาตร ไม่เห็นท่านออกมาบิณฑบาต จึงตามไปดูที่บรรณศาลา เห็นท่านปรินิพพานแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญ ช่วยกันนำร่างของท่านไปฌาปนกิจ ส่วนชายหนุ่มก็ไปดูผลงานของตนเอง จำพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ จึงพูดด้วยความภูมิใจว่านี้เป็นฝีมือของตนเอง ไม่ได้สำนึกบาปกรรมที่ตนเองก่อไว้เลย ชาวบ้านรู้เข้าจึงพากันรุมประชาทัณฑ์จนสิ้นชีวิต หลังจากตายไป เขาตกนรกหมกไหม้ยาวนาน ถูกไฟนรกเผาผลาญอยู่ในอเวจีมหานรก จนกระทั่งแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ จึงพ้นจากนรก แต่ยังมีเศษกรรมเหลืออยู่ จึงไปเกิดเป็นเปรตที่ถูกค้อนเพลิงทุบหัว ได้รับทุกข์ทรมานอยู่ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ
 
     เราจะเห็นว่า คนพาลเมื่อมีความรู้ก็เป็นความรู้ที่อาบยาพิษ เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง ดังนั้นความรู้ความสามารถต้องคู่กับคุณธรรมความดีที่เกิดขึ้นในใจ จึงจะช่วยไม่ให้ชีวิตตกต่ำ และเจริญรุ่งเรืองทั้งโลกนี้และโลกหน้า ความรู้ความสามารถ ศิลปวิทยาที่ศึกษามาดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ โดยเฉพาะการศึกษาศิลปะแห่งการหยุดนิ่ง ซึ่งเป็นศาสตร์ที่จะนำเราไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นความรู้ที่น่าศึกษามากทีเดียว
 
     พระบรมศาสดาเมื่อศึกษาความรู้ทางโลกจนจบ ๑๘ สาขาแล้ว ยังมองไม่เห็นว่า จะมีศาสตร์ไหนที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น พระองค์ทรงเห็นด้วยปัญญาที่สั่งสมมาข้ามภพข้ามชาติว่า การออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ทำใจให้หยุดนิ่งนี่แหละ จะเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งมวล จึงละทิ้งความรู้ทางโลกหันมาศึกษาความรู้ทางธรรม ศึกษาศาสตร์แห่งการทำใจหยุดนิ่งจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ใช้เวลานานถึง ๖ ปี ในที่สุดพระองค์ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นศาสดาเอกของโลกและจักรวาล

 
     พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน ควรหาโอกาสมาศึกษาศิลปะแห่งการทำใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งชีวิต จะได้พบความสุขที่แท้จริงภายใน เพราะการทำใจหยุดนิ่งให้ถูกส่วนที่ศูนย์กลางกายเป็นสุดยอดของศิลปะทั้งปวง ดังนั้นให้ทุกท่านได้ใส่ใจกับศิลปะแห่งการเข้าถึงธรรมนี้ให้ดี ด้วยการหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งในทุกอิริยาบถ

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* อนฺตํ ในพระไตรปิฎกใช้ ญตฺตํ

* มก. เล่ม ๔๑ หน้า ๒๓๙


ขอขอบคุณ link ที่มา buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/กรรมของคนฆ่าพระ.html

3
กฏแห่งกรรม-ชาติภพ / นางฟ้าหมอดู
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 01:09:29 am »





นางฟ้าหมอดู


ต่อไปนี้ก็คุยถึง นางฟ้าหมอดู นางฟ้าคนที่ ๓ เธอขยับเข้ามา นางฟ้าปลาทูก็ถอยไป จบเรื่องของเธอแล้ว เข้ามาเธอก็กราบ
เธอถามคำแรกว่า จำฉันได้ไหม
เลยตอบเธอแบบสัพยอกว่า เวลานี้ฉันยังเป็นคน จำเธอไม่ได้ ถ้าฉันเป็นเทวดาอาจจะจำเธอได้ เพราะเธอสวย
เธอก็ยิ้ม เธอก็บอกว่า ชอบพูดล้อแบบนี้อยู่เสมอ ในสมัยที่ฉันยังไม่ตายก็ชอบพูดแบบนี้ ชอบพูดว่าเวลานี้ฉันแก่แล้ว ถ้าไม่แก่ฉันอาจจะแต่งงานกับเจ้าสาวสัก ๑,๐๐๐ คน ในคราวเดียวกัน คือ ชอบพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ล้อเล่นให้เกิดความสนุก

เธอก็บอกว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ฉันเคยทำบุญกับท่าน และก็เคยเจริญพระกรรมฐานกับท่าน แต่ว่าการเจริญกรรมฐานของฉันใช้หลายวัด ฉันศึกษาวัดต่าง ๆ มาก่อนหลายวัด ฉันชอบเจริญสมาธิ แล้วก็ต่อมาเมื่อข่าวของท่านปรากฏขึ้น ฉันก็เลยไปศึกษาที่ท่านด้วย แต่ผลที่เจริญสมาธิอยู่เรื่อย ๆ มีผลอย่างหนึ่ง นั่นคือได้ ทิพจักขุญาณ แต่ความจริงคำว่า ทิพจักขุญาณ เธอไม่สามารถจะแจ่มใสเท่าพระอรหันต์ นั่นก็ไม่เป็นไร ก็พอใช้ได้ตามสมควร และก็เลยทำกรรมฐานเรื่อยมา จิตเป็นสุข

ความจริงทิพจักขุญาณนี่ช่วยให้จิตเป็นสุขมาก วันไหนถ้ามีอาการแห้งแล้งทางใจเกิดขึ้น หรือหงอยเหงาทางใจเกิดขึ้น ความหดหู่ทางใจเกิดขึ้น ก็ใช้ทิพจักขุญาณเป็นเครื่องปลอบนั่นก็หมายความว่าหาทางเห็นเทวดา เห็นนางฟ้า เห็นพรหม เห็นพระ แล้วก็คุยกับท่าน ท่านก็คุยด้วย ฉันก็คุยกับท่าน สร้างความเพลิดเพลิน เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี พระก็ตาม ท่านไม่คุยเรื่องอกุศล ท่านคุยเฉพาะสิ่งที่เป็นกุศลเสมอ อะไรที่บกพร่องอยู่ท่านเตือน เตือนให้ปฏิบัติตามแบบง่าย ๆ ฉันก็ทำตามท่าน

ถามเธอว่า เวลานี้เธอเป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นไหน
เธอตอบว่า ฉันอยู่ชั้นยามาค่ะ
ตกใจ ที่ตกใจเพราะว่าผู้หญิงดีกว่าเรา เรายังเป็นคนด๊อกแด๊ก ๆ ปวดท้อง เสียดท้อง อืดอยู่ทุกวัน อาการร่างกายเครียดขึ้นทุกวัน ไม่มีทางดีขึ้น เวลานี้เธอละร่างกายไปแล้ว และก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์กันบ้าง ชั้นยามากันบ้าง

ร่างกายของพวกเธอทั้งหมด ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เกิดระดับแรก เป็นสาวขนาดไหนก็เป็นสาวขนาดนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอด มีแต่การรุ่งโรจน์สวยงามมากขึ้น ถ้าบุญบารมีเพิ่ม ไอ้เราเองนี่ย่ำแย่ แก่ลงทุกวัน ประสาทก็ใช้ไม่ค่อยได้ทุกวัน งานก็หนักจึงอยากจะเลิกงาน อยากจะพักทุกอย่างเสียให้หมด แต่ก็พักไม่ได้ เพราะมีกฎจำกัด

รวมความว่าก็ตามเรื่องตามราว มันเป็นกฎของกรรม เกิดมาชาตินี้ก็ให้มันไปหนึ่งชาติ มันจะอยู่ไปเท่าไรก็เชิญมันอยู่ไปตามชอบใจของมัน มันจะมีทุกขเวทนาขนาดไหน ก็เชิญเป็นไปตามชอบใจของมัน แต่ก็พยายามรวบรัดการงานให้แล้ว ๆ เร็วที่สุด ก็อยากจะทำเฉพาะงานภายใน คือ สอนกรรมฐาน เพราะจิตเป็นสุข อย่าบ่นเลยนะคนแก่มันขี้บ่น

เล่าเรื่องราวของเธอต่อไป จึงถามเธอว่า อยากจะดูวิมาน วิมานของเธอสวยไหม แต่ความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท นางฟ้าคนนี้มีเครื่องแต่งกายแตกต่างจากนางฟ้า ๒ คน ที่พูดมาแล้ว คนแรก นางฟ้าปูทะเล เธอมีพื้นผ้าประดับกายสีเขียวอ่อน สวยเย็นตา แพรวพราวเป็นระยับ สวยงามมาก เวลาพูดนี้เธอก็ยิ้ม น่ากลัวจะยิ้มอวด และต่อมานางฟ้าปลาทู ชุดแต่งกายของเธอมีสีเหลือง ทั้งนี้ เพราะอะไร เธอบอกมาเดี๋ยวนี้ เธอบอกว่า เพราะจิตใจจับพระสงฆ์องค์นั้น พระสงฆ์องค์นั้นท่านมีสีเหลือง คือ ผ้าของท่านเหลือง

เธอตอบต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า เธอไม่ทราบหรอกว่าพระสงฆ์องค์นั้นเป็นพระที่มีความสำคัญ
ก็ถามเธอว่า มีความสำคัญขั้นไหน ขั้นฌานโลกีย์หรือ
เธอตอบว่า ไม่ใช่
ถามว่า เป็นโลกุตตระหรือ

เธอก็ยิ้ม ถ้าไม่ใช่ฌานโลกีย์ ก็เป็นฌานโลกุตตระ พอจะถามต่อไปเธอก็สั่นหน้า เธอบอกว่า ห้ามถาม ขั้นไหนไม่บอก บอกอย่างเดียวว่า ไม่ใช่ฌานโลกีย์
อยู่แถวไหน
เธอตอบว่า ไม่บอก ตะวันออกก็ได้ (ลองเล่นกับนางฟ้าดู) ถามว่าอยู่แถวไหน เธอบอกว่า ไม่บอก ตะวันออกก็ได้ เลยสงสัยว่าอาจจะอยู่ทางทิศตะวันออก

พระองค์นี้เป็นพระดีจริง เป็นพระที่มีความฉลาดมาก อาตมาก็ขอโมทนาในความฉลาดของท่าน ที่ท่านเป็นหมอดู คนชอบหมอดู เวลานี้ ถ้าคนไหนเป็นหมอดู คนนั้นมีเสน่ห์มาก คนชอบมาก คนไปมาก และพระองค์นี้ก็ฉลาด แถมให้นึกถึงท่าน นี่สำคัญมาก การนึกถึงท่าน ท่านบอกว่าจะช่วยได้ง่าย ๆ มีอะไรเกิดขึ้น อุปสรรคเกิดขึ้น อาศัยใจต่อใจประสานกันอย่างนี้มันไม่ใช่กามารมณ์ เพราะพระท่านก็แก่แล้ว คนที่ถูกแนะนำก็แก่แล้ว เป็นการแนะนำที่ฉลาด ให้เจริญ สังฆานุสสติกรรมฐานอย่างง่าย ๆ

แหม...ต้องชมความฉลาดของพระองค์นี้ ขอชมจริง ๆ อยู่ที่ไหนก็ช่าง เผอิญฟังเทปก็โปรดทราบด้วยว่า ผมโมทนาในความดีของท่าน รู้สึกขอบคุณท่านที่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา การเป็นหมอดู ดึงคนให้เกิดศรัทธาได้ดี แต่ว่าอาตมาไม่ไหวนะ ได้แต่เป็นหมอดู ดูว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าจะให้พยากรณ์นี่ไม่ไหว

ก็ถามเธอต่อไปว่า วิมานของเธอ (ขอโทษ!) เครื่องประดับของนางฟ้าชั้นยามานี่ใสขาว เป็นแก้วแพรวพราวทั้งตัวเหมือนกับวิหารแก้ว (ขอโทษ!) เหมือนกับมณฑปแก้ว หรือวิหาร ๑๐๐ เมตร วิมานของเธอก็เลื่อนเข้ามา วิมานของเธอก็ขาวใสเหมือนกัน แพรวพราว เป็นเพชร เป็นระยับ เต็มหลังไปหมด วิมานใหญ่ แต่วิมานของเธอมีวิมานแถม วิมานหลังใหญ่ ก็มีเป็นวิมานหลังย่อม ๆ เป็น ๒ หลัง คล้าย ๆ กับสถานที่นั่งเล่น เธอคงทำบุญไว้มาก

เธอก็ตอบว่าใช่ สมัยที่เป็นหมอดู ชอบเป็นหมอดูทางใน (นั่นแน่! เอาเข้านั่นแน่ เจอะตัวดีเข้าแล้ว) เธอใช้ ทิพจักขุญาณ ดู
การใช้ ทิพจักขุญาณ ดูนี่มีประโยชน์มาก เพราะตอนเช้าก็ต้องคุมอารมณ์ของนิวรณ์ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ตั้งแต่เช้าตรู่ พอตื่นขึ้นมาแล้วปั๊ปก็ต้องจับจิต ไล่นิวรณ์กันทันที ถึงกระนั้นมันก็อดกวนใจไม่ได้ แต่กวนใจไม่ได้นาน ขับนิวรณ์ ขับออกไปให้จิตใจผ่องใสไว้เสมอ ใครถามเมื่อไรตอบได้ทันที

เมื่อขับนิวรณ์แล้ว สิ่งที่จับประจำอยู่ก็คือ พระพุทธเจ้า กับครูบาอาจารย์ กับเทวดาหรือพรหมทั้งหลายที่ท่านเมตตา รวมความว่าจิตเป็นสมาธิ เป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นสังฆานุสสติด้วย เป็นเทวตานุสสติด้วย เป็นประจำกำลังเธอจึงสูง

ก็เลยถามเธอว่า อะไรนะที่มันห้อย ๆ อยู่รอบ ๆ วิมาน ปรากฏมองแล้วเหมือนกับถังตักน้ำ แต่ถังมันก็เป็นเพชรแพรวพราว อันนี้ไม่ใช่ทองคำ เป็นเพชรแพรวพราว เป็นระยับและของที่ใส่ข้างบนก็เป็นเพชร สูงขึ้น สวยมาก รอบวิมาน
เธอก็บอกว่า นี่คือการถวายสังฆทานที่พระคุณเจ้าจัดให้ใส่ถัง ถังนั้นก็เลยมาห้อยรอบ ๆ วิมานของฉัน

ถามว่า เธอถวายสังฆทานแบบถัง ๆ นี่กี่ครั้ง มันจึงมากมายแบบนี้ แต่ถังเวลานั้นสวยมาก ไม่เหมือนถังที่เขาหิ้วถวายสังฆทาน ถังที่ถวายสังฆทานเป็นถังเก่า ของข้างในก็แลดูมัว ๆ แต่นี่ทุกอย่างเป็นเพชรหมด ของข้างในก็เป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ มีแสงออกสวยมาก

เธอก็ตอบว่า การถวายสังฆทานจริง ๆ ไม่เกิน ๑๐ ครั้ง เฉพาะสังฆทานถัง เพราะเวลานั้นสังฆทานถัง ๑๐๐ บาท ยังไม่มี มีแต่สังฆทานถัง ๕๐๐ บาท เงิน ๕๐๐ บาท มันก็หาได้ยาก แต่เวลาใครเขามาดู ให้พยากรณ์ เขาให้ก็เก็บไว้ ไว้ถวายสังฆทานบ้าง ไว้ใส่บาตรบ้าง

เวลาพระท่านขัดข้องอะไรขึ้นมาก็ทำบุญกับพระบ้าง ทุกอย่าง เงินที่ได้มาทั้งหมดก็ใช้ ๒ ประการ คือ กินใช้เองตามความจำเป็น ไม่เก็บกักไว้ แต่เก็บกักไว้บ้างเพียงแต่ยารักษาโรค ป้องกันการเจ็บป่วย นอกนั้นก็ทำบุญหมด ก็คิดว่าเราต้องตาย

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจะตาย ก็เห็นวิมานที่ชั้นยามานี่ก่อน ถามพระ ถามเทวดาท่านว่า คนอย่างฉันถ้าตายจากความเป็นคนจะไปอยู่ที่ไหน ท่านก็ชี้ให้ดูวิมานหลังนี้ วิมานหลังนี้มันเกิดก่อนฉันตายมาก พอฉันได้ทิพจักขุญาณ ฝึกได้แล้ว และก็มาที่นี่ได้ อาศัยมโนมยิทธิมาที่นี่ได้ ฉันก็เห็นวิมานหลังนี้แล้ว วิมานหลังนี้ว่างจากเจ้านาย แต่ว่ามีคนอยู่ นั่นคือบริวาร ถามว่า บริวารของเธอมีเท่าไร ก็ตอบว่า บริวารของฉันเวลานี้มี ๔,๐๐๐ คน เป็นนางฟ้าทั้งหมด

เธอบอกให้ดูบริวารของเธอแล้ว ก็เห็นทุกคนนั่งสงบสงัด ก็ถามว่า เขานั่งเงียบ ๆ เขาทำอะไรกัน
เธอก็บอกว่า บริวารทั้งหมดนี้ทำสมาธิ
ก็ถามว่าเธอมีบริวารทำไมกันนะ ในเมื่อเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาก็ตาม เป็นพรหมก็ตาม ไม่มีงานจะพึงทำ และมีบริวารก็ไม่ได้ใช้ บริวารทุกคนต่างคนต่างนั่งหลับตา อย่างนี้ก็คือว่ามีบริวารตอไม้จะดีกว่า เรานั่งฉี่บนตอไม้ได้

เธอก็หัวเราะ เธอบอกว่า มันเป็นระเบียบของสวรรค์ ในเมื่อมาเห็นก็เห็นบริวารเต็มแล้ว
ก็ถามว่า บริวารพวกนี้มาจากไหน
เธอก็ตอบว่า บริวารพวกนี้เป็นคนที่เคยเจริญสมาธิ เคยให้ทาน เคยรักษาศีล เคยฟังเทศน์ แต่ว่า ขาดการสร้างวิหารทาน คนประเภทนี้มีมาก ในเมื่อ ไม่เคยสร้างวิหารทาน วิมานของตัวเองก็ไม่มีอยู่ ก็ต้องมาอยู่ร่วมกัน แต่คำว่าบริวารนี้ก็ไม่ใช่ทาสรับใช้ ถือว่าเป็นเพื่อนแก้เหงาดีกว่า

ก็รวมความว่า บุญบารมีของเธอบรรดาท่านผู้ฟัง รู้สึกว่านางฟ้าหมอดูนี่เธอเป็นหมอดู ก็ถามเธอต่อไปว่า การเป็นหมอดูของเธอมีประโยชน์อะไรบ้าง
เธอบอกว่า ทำจิตใจผ่องใสตลอดเวลา อารมณ์เป็นสุข
ก็ถามว่า เวลานี้เธอมานั่งในกลุ่มของคนที่มีบาปอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมี นางยักษิณีคุมอยู่ข้างหลัง แต่ความจริงเขาไม่ได้คุมอยู่ เขาแสดงเป็นภาพ เป็นนางยักษิณี แต่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณี เป็นภาพแสดงอาการว่า ทุกคนยังมีบาปอยู่เบื้องหลัง ถ้าพลาดจากสวรรค์เมื่อไร ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องลงเลย ไปถึงอบายภูมิ

เธอก็ตอบว่า บาปเก่า ๆ มันมีอยู่ ก่อนที่จะมีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาจริง ๆ ความจริงพ่อแม่ก็เป็นคนของพระพุทธศาสนา นับถือพุทธศาสนา การนับถือในระหว่างนั้นมันก็ไม่แน่นักที่ว่าไม่แน่เพราะอะไร เพราะว่ากำลังใจว่าอะไรว่าตามกัน ท่านบางท่าน ครูบาอาจารย์บางคน พระบางองค์ บางทีท่านก็ไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา บาป ปาณาติบาต ฉันก็เคยทำ อทินนาทาน มีบ้าง ตอนเด็ก ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ กาเมสุมิจฉาจาร ขอผ่านไป ไม่มี ไม่เคยแย่งสามี ภรรยาของใคร

ถามว่า มีสามีหรือเปล่า
เธอบอกว่า มี
ถามเธอว่า ก่อนมีสามี มีสามีพิเศษหรือเปล่า
เธอยิ้ม เธอถามว่า ถามทำไม

ก็อยากจะทราบว่า รูปร่างหน้าตาสะสวยแบบนี้ มันน่าจะมีคนชอบมาก ๆ
เธอก็ตอบว่า คนชอบมากก็มีก็ได้แต่ชอบ เขาชอบฉัน ฉันก็ชอบเขา แต่ว่าฉันก็ไม่ชอบให้มาลวนลามถึงขนาดนั้น แค่คุยกันคุยได้ แต่ทำอย่างอื่นทำไม่ได้ เพราะผิดประเพณีนิยม (นี่เคร่งครัดมาก คนนี้เก่ง จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อ้าว! คุยกับนางฟ้ามันก็ต้องจริงสินะ)

ก็รวมความว่า ถามว่า บาปที่มีความสำคัญของเธอมีอะไรบ้าง เท่าที่พูดมามันไม่หนัก
เธอก็ตอบว่า บาปที่มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ถึงกับปรามาสพระรัตนตรัย แต่ว่า ปรามาสนักบวชที่ไม่เคารพในพระพุทธศาสนา (เอาเข้าแล้ว ๆ นี่ด่าฉันหรือเปล่าก็ไม่ทราบสินะ ชักสงสัย)
ก็ถามเธอคำว่า พระรัตนตรัย
เธอบอก พระรัตนตรัย คือ ๑. พระพุทธเจ้า ๒. พระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓. พระอริยสงฆ์

อย่างนี้ คือ ๓ รัตนะ แก้ว ๓ ดวง แก้วจริง ๆ ไม่มีเสีย เป็นของดีมาก มีแต่ความผ่องใส
แค่นักบวชบางคนไม่เคารพพระพุทธศาสนา อย่างนี้ไม่อยู่ในเกณฑ์พระรัตนตรัย (เอาเข้าแล้ว ๆ พูดเสียใจเต้น ตึ๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ เอ๊ะ! ยายคนนี้แกพูดยังไงหว่า)
ก็ถามว่าเป็นอย่างไร

เธอตอบว่า การที่ฉันทำบุญ แกก็นินทาว่าทำไมทำบุญต้องไปทำวัดโน้นต้องไปทำวัดนี้บุญมันก็ได้ทุกวัด เธอก็ยอมรับว่าความจริงบุญได้ทุกวัด แต่กำลังใจมันไม่ฟู มันไม่อิ่มใจ จึงตั้งใจทำบุญเฉพาะวัดที่มีความเลื่อมใส พระพวกนี้ก็ว่า นักบวชพวกนี้ก็ว่า ฉันก็เลยไม่ชอบใจ เมื่อว่าฉันมา ฉันก็ว่าบ้าง

ตอนฉันเจริญกรรมฐานแกก็หาว่า บ้า ตอนที่ฉันเป็นหมอดู แกก็ป่าวประกาศกับบรรดาประชาชนว่าอย่าไปเชื่อ อีนี่มันหลอกลวง มันเป็นลูกเจ๊กลูกจีน (ขอโทษ! ลืมบอกไปว่าลูกเจ๊กผิวขาวโปร่ง) มันเป็นลูกเจ๊กลูกจีน ไม่นับถือพุทธศาสนาจริง หลอกลวง แต่ว่าการดูของเธอไม่เก็บเงิน ไม่เรียกเงิน ไม่เรียกของ ไม่เรียกอะไรทั้งหมด ถ้าเขาให้ รับ ไม่มีการกะเกณฑ์ คนไม่มีสตางค์ให้ก็ไม่เป็นไร แต่การดูของทุกคนต้องนำดอกไม้ธูปเทียนมาครบ เขียนคำถาม ๕ ข้อ

ทุกคนเมื่อนำดอกไม้ธูปเทียนมาแล้วต้องไปบูชาพระพุทธรูปก่อน แล้วจึงจะพยากรณ์ให้ รวมความว่า เธอแนะนำให้คนมีบุญ และคนพวกนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นบริวาร
เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย เวลานี้มองดูนาฬิกา มันเหลือเพียง ๒๐ วินาที เท่าที่ตั้งไว้ ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ที่มา: หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 4

ขอขอบคุณที่มา http://board.palungjit.com/f23/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B9-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-326351.html


คำจากผู้อ้างอิงนำเสนอ การทำบุญไม่ว่าใหญ่ หรือ เล็ก  มาก หรือ น้อย ย่อมให้ผลดีเสมอ  :07:

4




ไปบวชกันไหม จะไปก็รีบไป หนึ่งชีวิตลูกผู้ชาย หลวงพี่พาไปบิณฑบาต   :25: :25: :25: :25: :25: :25:


 :12:

5


เรื่องที่เจอมานี้อยากให้ทุกคนได้อ่านครับ เป็นสิ่งที่ทำให้คนคิดสั้น และผลกรรมที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัดคือความทุกข์ทรมาน
ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องครับ และ อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านรู้จักใช้สติแก้ปัญหาครับ


ดู MV นี้ด้วยน่าจะเข้ากัน






เมื่อคืนเรากินยาตาย

ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ

เวลาเราเสียใจหนักๆจนไม่มีสติ

ตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ที่เรามีปัญหากับเค้ามาตลอด

ตั้งแต่เค้ากลับมา เรามีความสุขมากๆ ชีวิตที่ผ่านมาของเรา 3 ปี ได้ถูกเติมเต็ม เราไม่เหงาอีกแล้วใช่มั้ย

เค้ากลับมาอยู่กรุงเทพกับเรา 3 วัน แล้วเราก็กลับบ้านเค้าที่เชียงรายด้วยกันช่วงวันหยุดวันแม่

ช่วงที่อยู่บนดอยมีความสุขมาก พ่อแม่พี่น้องเค้ารักเราทุกคน
แต่.......สุดท้าย

ครอบครัวเค้าและเค้าเองด้วยก็เลือกที่จะกลับไปทำงานที่ไต้หวันอีกครั้ง

เราก็ได้งงๆมึนๆ


ไปอีกแล้วเหรอ

ไป 3 ปี

ผู้หญิงที่คาราคาซังก็ยังอยู่ที่ไต้หวัน

ไปแล้วจะไม่ไปเจอกันเหรอ

แล้วอะไรคือหลักประกันสำหรับเรา เราจะรอเค้าเก้ออีกรึเปล่า เค้าเคยคิดบ้างมั้ย

เราคิดมากทุกวันหลังจากนั้น เรากลับมากรุงเทพเพราะเราต้องทำงาน เค้ายังอยู่บ้านต่อไป

มากรุงเทพครั้งล่าสุดก็มาทำเรื่องไปนอก

เราได้แต่ดูเค้าตาปริบๆ เค้าเคยคิดถึงเราบ้างมั้ย ไปอีกแล้วเหรอ

เราเลยบอกไปว่า ถ้ากลับไปเราเลิกกัน เรากลัวเค้าไปมีคนอื่น

เค้าก็นิ่งไป และยอมรับมัน

สุดท้าย 3 ปีที่เรารอคอย ทำอะไรตั้งมากมาย สิ่งที่เราได้คือแบบนี้

เค้ารักเราจริงๆเหรอ หรือแค่หลอกใช้

จากนั้น การติดต่อของเราก็ห่างกันขึ้น เค้าไม่อยากจะรับโทรศัพท์เรา คุยกันทีก็หาแต่เรื่องทะเลาะให้เราเสียใจ จนเราต้องมานั่งคิดว่าเราคงผิดที่ตามเค้ามากไป

แต่เมื่อวานนี้เราโทรไปหา

ผู้หญิงรับสาย และบอกว่าเป็นแฟนเค้า

เราช็อกและอึ้งมากๆไม่อยากจะเชื่อ เพิ่งกลับบ้านไปไม่ถึงเดือน คบกันตอนไหน
สุดท้ายเค้าก็บอกว่า เราเลิกกับเค้าแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเค้าไปนอกเราจะเลิกกับเค้าไม่ใช่เหรอ
เค้าก็ได้แต่บอกว่า เราไม่รู้ว่าเราเลิกกันแล้ว ที่เราบอกไป เราไม่คิดว่านั้นจะเป็นการเลิกกันจริงๆ เพราะเรายังคุยกันไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ และเราก็เฝ้าโทรหาๆๆๆอยู่ตลอด

เค้านั้นแหละ เป็นฝ่ายห่างออกไปๆ
เราโทรหาแม่เค้า น้องเค้า น้องเขย ถามเรื่องแฟนใหม่ของเค้า
ปรากฏ ว่า ไม่มีใครรู้เรื่องเลย ได้แต่บอกว่า ไม่เห็นพาใครเข้าบ้านนะ อะไรจะมารักกันเร็วขนาดนั้น

สุดท้ายน้องเขยก็บอกเราว่าน่าจะกุเรื่องขึ้นมานะ

เราก็ถามไปว่ากุเรื่องนี้มาเพื่อให้เราเลิก ให้เราตัดใจใช่มั้ย

สุดท้าย สิ่งที่เรารอคอย สิ่งที่ตอบแทนกลับมา คือแบบนี้ใช่มั้ย

เราทำงานแทบไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอด เพื่อนร่วมงานก็พากันสงสาร

เรากลับบ้านมาแบบใจลอยๆ ตัดสินใจแวะร้านขายยา

ยานอนหลับเค้าไม่ขายกัน เราเลยซื้อยาแก้แพ้

เรากลับห้องมา อยู่คนเดียว โทรหาเค้าและน้องเขย(น้องเขยที่จริงอายุมากกว่าเรา 4 ปี แต่ศักดิ์เป็นน้องเขย)
น้องเขยเรียกแฟนเรามาคุยและอบรม
แต่โทรไปก็ไม่ติด เพราะบ้านน้องเขยไม่มีคลื่น

เราเลยโทรหาแม่เค้า ก็คุยไปร้องไห้ไป แม่ก็บอกให้ใจเย็นๆ คงไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวมาจะโทรตามเค้าให้ แม่ก็บอกว่าแม่รักเรารู้จักกันมานาน 4-5 ปีแล้ว แม่เป็นห่วงนะ อย่าทำอะไรโง่ๆนะ แม่ก็ร้องไห้ไปกับเรา สงสารเรา


เราก็ปลอบแม่ไปว่า เราไม่เป็นไร

พอวางสายไป ปล่อยโฮทันที

เราโทรหาแฟนเราอีกครั้งไม่ติด

เราตัดสินกินยาเข้าไป ราวๆ 14-15 เม็ด

วินาทีที่กลืนลงคอ เรากลัวตายซะงั้น

มานั่งนิ่งๆ ร้องไห้โฮ ปล่อยตัวเองให้ตายเลยดีมั้ย หรือว่าจะโทรหาพี่ดี

ยาออกฤทธิ์รึยังเราไม่รู้ แต่เราสติแตกไปแล้ว เลยโทรหาพี่กับเพือน

เพื่อนเรามารับเราไปโรงพยาบาลทันที

ระหว่างที่นั่งรถไป มันก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เราเล่าไป พูดรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง น้ำตาไหลพรากๆ เพื่อนได้แต่ถอนหายใจ กูนึกว่ามึงตัดใจได้แล้ว เค้าไม่รักไม่แคร์มึงแล้ว มึงก็รู้

ทำแบบนี้ คิดว่าเราจะรักมึงเหรอ อยากได้ความรักหรือความเห็นใจ

ถึงโรงพยาบาล

เรานั่งรถเข็นเข้าห้องฉุกเฉินแบบงงๆ บอกหมอว่ากินยาไป ใครก็รู้ว่าทำประชดแฟน
วินาทีนั้นสมเพชตัวเองมากๆ

การล้างท้อง มันทรมานที่สุด

เวลากินนั้นง่าย ล้างออกนี่......สุดๆ

พยาบาลคนแรกใช้สายยาง แทงลงรูจมูกเราเพื่อให้ลงคอไปยังหลอดอาหาร และกระเพาะมั้ง

แต่เราใส่สายยางไม่สำเร็จถึง 2 ครั้ง มันจะอ้วกและยากมากๆ ครั้งที่สองนี่ไม่ไหวแล้ว สะบัดมือพยาบาลเองเลยโดยอัติโนมัติ
พยาบาลเริ่มโมโห อีนี่
เลยเปลี่ยนพยาบาลคนใหม่ เค้าก็ดุนะ
ทำไมคนไข้ดึงสายยางออก ปฏิเสธการรักษาใช่มั้ย ได้นะ
เราก็น้ำตาไหลส่ายหน้า ไม่พูดอะไร

เค้าก็คงเห็นใจเราอยู่เหมือนกัน ที่ดุก็เพราะว่าต้องการรักษาเรา ยังไงวันนี้ก็ต้องล้างท้องด้วยวิธีนี้
เราเลยกลั้นใจ ตั้งใจทำตามที่พยาบาลบอก

พยาบาลคนนี้ดีมากๆเลย เค้าเปลี่ยนเบอร์เล็กให้เราและบอกเป็นสเตป
อ้าปากนะหายใจทางปากหายใจทางปากไว้ คุณจะไม่เจ็บ

เราก็ทำตาม หายใจ หายใจ รู้แล้วว่าสายไปถึงไหน

บอกให้กลืน ก็กลืนนะ เอากลืนๆ กลืนๆ หายใจทางปากๆสลับไปมา

พอจะอ้วก ก็มีอาการ พยาบาลก็บอก กลืนไปๆจะอ้วกใช่มั้ย นั้นแหละ ลืนเลย จะลงแล้ว คำว่าจะลงแล้ว จะได้แล้ว ทำให้เรามีกำลังใจทันที

จนสำเร็จ สายยางคงไปถึงกระเพาะเราแล้ว

เค้าก็เอาน้ำอะไรไม่รู้ ผ่านท่อเย็นท้องวาบ แล้วก็ดูดออก ทำแบบนี้เกือบ 10 ครั้งมั้ง

แต่เป็นเวลาที่ยาวนานมากๆ พยาบาลก็บอก นี้ไม่ทานอะไรทั้งวันเลยเหรอ ในท้องไม่มีอะไรเลย

เราคิด ตอบตอนนี้ไม่ได้ค่า

พอล้างเสร็จ ดึงท่อออก

พยาบาลไปแล้ว ให้เรานอนพักสักครู่

เราร้องไห้ทันที เสียใจ เสียใจกับการกระทำของตัวเอง ถ้าพ่อแม่รู้จะเสียใจแค่ไหน ที่เราคิดถึงแต่ตัวเองและผู้ชายคนนั้น
ทำไมเราทำอะไรโง่ๆได้ขนาดนี้

ทำไป เราก็เจ็บอยู่คนเดียว แย่อยู่คนเดียว

เค้าจะมารับรู้ จะสนใจอะไร

เราคิดได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกเราปากเปียกปากแฉะอีก

เรารู้แล้ว และปล่อยทุกอย่าง

เค้าอยากทำอะไร อยากมีใคร อยากไปไหน อยากเลิกกับเรา ก็ทำไป เค้ามีสิทธิ

อย่ามารั้งเค้าไว้ด้วยวิธีนี้เอง คนๆเดียวที่ไม่รักเราแล้ว

พอเราเป็นแบบนี้ พี่เราเอาโทรศัพท์เราโทรไป ก็ไม่รับ จนพี่เราเอาเบอรตัวเองโทรถึงรับ

น้องเขยรับ แต่อีแฟนเราไม่คุย

พี่เราก็บอกไปว่าเราอยู่โรงพยาบาล ขอคุยกับแฟนเรา แฟนเราไม่ยอมคุย น้องเขยก็โกหกให้ว่าแฟนเราไม่ได้อยู่ที่นี้

น้องเขยถามอาการเรา พี่เราบอกหนักมั้ยละ ล้างท่ออยู่เนี๊ย

พี่เราบอกว่า ทีแรกมันคงไม่เชื่อ คิดว่าโกหกแน่ๆ

แต่สุดท้ายคงเชื่อ เลยโทรกลับมากัน แต่พี่เราหมั่นไส้ปิดเครื่องไปแล้ว

เรากลับมาบ้าน เปิดเครื่อง โทรคุยกับน้องเขยอยู่นาน เค้าเห็นใจเราแบอกเราว่าที่จริงแฟนเรารักและแคร์เรานะ เค้าเครียดไปเหมือนกัน มันสะเทือนใจนะ ที่หลังอย่าทำแบบนี้นะ ทรมานตัวเองทำไม แฟนเรายังเด็ก บางทีทำอะไรลงไป ก็ไม่ทันได้คิด

แล้วแฟนเราก็โทรมาหาเราตอนตี 2 กว่า

ได้แต่พูดว่า ทำแบบนี้ทำไม อยากให้เรารักทำแบบนี้เหรอ มันไม่ถูกต้องนะ รู้มั้ยว่าเป็นห่วงกันขนาดไหน จะบอกพ่อเลยดีมั้ย เราก็สวนคืนว่า ถ้าพ่อรู้ เธอนั้นแหละจะเดือดร้อน
เค้าก็พูดโดนก็โดนสิ แต่การทำแบบนี้ มันก็เป็นการกระทำที่สิ้นคิดมากๆ
เราก็ว่า ตัวเองจะเลิกกับเค้าไม่ใช่เหรอ
มีคนใหม่ไม่ใช่เหรอ

การที่ให้คนอื่นมาพูดแบบนี้ ถึงจะโกหกก็เถอะ แต่มันเป็นวิธีที่แรงนะ มันรุนแรงไปรึเปล่า คุยกันดีๆก็ได้

ก็ทะเลาะกันอีก แล้วคุยกันดีๆ คุยกันรู้เรื่องรึเปล่า แล้วการเลิกกันก็เป็นความต้องการของเราไม่ใช่เหรอ แล้วพอมาเกิดเรื่องก็ว่าเค้ามาบอกเลิก

ใครบอกเลิกใครก่อน (ก็จริงนะ)
เราก็กวนไปว่า ถ้าเราตายกลัวเดือนร้อนรึไง
ไม่ต้องห่วง มีแค่พี่สาวเรากับเพื่อนเราเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

เค้าก็ร้องโอ้ยยยยย คิดแต่แบบนี้

เราไม่อยากทะเลาะ เลยบอกเออ เราก็ผิดที่ทำร้ายตัวเอง เราก็เสียใจนะ มันทรมาน เราคิดสั้นไป
เค้าก็ถามเป็นยังไงบ้าง
เราก็ว่าดีขึ้นแล้ว หนักๆหัวนิดหน่อย พรุ่งนี้ก็จะลางาน
เค้าก็เลยว่า เราไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน

เราก็วางไป


สุดท้าย เค้าแคร์เรารึเปล่านะ หรือว่าแค่สงสาร เห็นใจ รู้สึกผิด

เค้ารักเราบ้างมั้ย

แต่สุดท้าย พอเราผ่านความเป็นความตายมา เราก็มีสติมากขึ้น

รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก เลิกก็เลิกจบก็จบ เราทำใจได้

เรารักชีวิตของเราดีกว่า เป็นห่วงตัวเอง ห่วงความรู้สึกตัวเองก่อนดีกว่า

อย่าไปเสียใจ อย่าไปงมงาย อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์มากๆ

คนรอบข้างรักเราแค่ไหน คนดีๆที่รอเราอยู่ก็มี เค้าเป็นห่วงเรายิ่งกว่าแฟนเราเราอีก

เราอย่าไปให้ความสำคัญกับคนๆเดียวแบบสุดๆอีกเลย

ความตายไม่ใช่ทางแก้ปัญหา

รักตัวเองมากๆ บอกตัวเองทุกวัน โชคดีแค่ไหนที่ได้ตื่นเช้ามา เห็นแสงแดด เห็นผู้คนดำเนินชีวิตของตัวเอง เห็นท้องฟ้า เห็นต้นไม้ ได้คุยกับคนดีๆ ได้ทำงาน

ถ้าตายไป สิ่งเหล่านี้ ไม่มีอีกแล้วนะ

รักตัวเองให้มากๆนะ






ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nirachon&month=08-2008&date=29&group=1&gblog=6

  :07: :07: :07:






6

 

ปลงสังขาร (เกศาผมหงอก)

เกศาผมหงอก..............บอกว่าตัวเฒ่า..............ฟันฟางผมเผ้า
แก่แล้วทุกประการ.........ตามืดหูหนัก.................ร้ายนักสาธารณ์
บ่มิเป็นแก่นสาร............ใช่ตัวตนของเรา............แผ่พื้นเปื่อยเน่า
เครื่องประดับกายเรา.....โสโครกทั้งตัว...............แข้งขามือสั่น

เส้นสายพันพัว...............เห็นน่าเกลียดกลัว........อยู่ในตัวของเรา
ให้มึนให้เมื่อย...............ให้เจ็บให้เหนื่อย............ไปทั่วขุมขน
แก่แล้วโรคา..................เข้ามาหาตน................ได้ความทุกข์ทน
โศกาอาวรณ์.................จะนั่งก็โอย..................จะลุกก็โอย

เหมือนดอกไม้โรย..........ไม่มีเกสร.....................แก่แล้วโรคา
เข้ามาวิงวอน................ได้ความทุกข์ร้อน..........ทั่วกายอินทรีย์
ครั้นสิ้นลมปาก...............กลับกลายหายจาก.......เรียกกันว่าผี
ลูกผัวเมียรัก..................เขาชักหน้าหนี..............เขาว่าซากผี

เปื่อยเน่าพุพอง..............เขาเสียไม่ได้.................เขาไปเยี่ยมมอง
เขาไม่แตะต้อง..............ร่างกายเราหนา..............เขาผูกคอรัด
มือเท้าเขามัด................รัดรึงตรึงตรา.................เขาหามเอาไป
ทิ้งไว้ป่าช้า....................เขากลับคืนมา...............สู่เหย้าเรือนพลัน

ตนอยู่เอกา....................ขาดคนคบหา................ดังเช่นทุกวัน
ทรัพย์สินของตน.............เขาแบ่งปันกัน..............ข้าวของทั้งนั้น
ไม่ใช่ของเรา..................เมื่อมีชีวิต.....................ครอบครองยึดติด
เดี๋ยวนี้เป็นของเขา...........แต่เงินใส่ปาก...............ก็ไม่ติดตามเรา

ไปแต่ตัวเปล่า.................เน่าทั่วร่างกาย..............อยู่ในป่ารก
ได้ยินเสียงนก.................กึกก้องดงยาง..............ได้ยินหมาไน
ร้องไห้ครวญคราง...........จิตใจอ้างว้าง................วิเวกวังเวง
ยังมีชีวิต........................มีมิตรมากมาย..............รอบกายของตน


เมื่อยามเป็นคน................เป็นอย่างนี้เอง..............มีมิตรครื้นเครง
รอบกายของตัว...............ตายไปเป็นผี.................เขาไม่ใยดี
ทิ้งไว้น่ากลัว....................ยิ่งคิดยิ่งพรั่น................กายสั่นระรัว
รำพึงถึงตัว......................อยู่ในป่าช้า..................ลูกหลานสินทรัพย์

ยิ่งแลยิ่งลับ.....................ไม่เห็นตามมา...............เห็นแต่ศีลทาน
เมตตาภาวนา..................ตามเลี้ยงรักษา..............อุ่นกายอุ่นใจ
ศีลทานมาช่วย................ได้เป็นเพื่อนม้วย............เมื่อตนตายไป
ตบแต่งสมบัติ...................นพรัตน์อำไพ...............เลิศล้ำผ่องใส

เพราะทำความดี...............ศีลพาไปเกิด...............ได้วิมานเลิศ
ประเสริฐโฉมศรี................นางฟ้าแห่ล้อม.............ด้วยคุณความดี
ขับกล่อมดีดสี...................มีสุขครื้นเครง..............เพราะเหตุอย่างนี้
ควรมีศีลทาน....................เพื่อเป็นสะพาน............ข้ามพ้นทุกข์เข็ญ

พ้นกรรมพ้นเวร.................พ้นมารพ้นภัย..............สั่งสมความดี
ให้มากหลากหลาย............เพื่อตนจะได้................มรรคผลนิพพาน
คุณพระทศพล..................ให้ฝึกฝนกรรมฐาน.......ละห่วงลูกหลาน
สามีภรรยา.......................ทั้งทรัพย์สมบัติ............เรือกสวนไร่นา

สิ่งนี้นำพา........................เกิดแก่เจ็บตาย.............เร่งบำเพ็ญเถิด
ประเสริฐมากมาย..............สุขใจสุขกาย................ตามพระพุทธองค์
พระองค์ทรงชี้..................ตถาคตมี......................สมบัติสูงส่ง
ในรั้วในวัง.......................ในศากยวงศ์.................สมบัติสูงส่ง

ละไม่ไยดี.........................เพราะเป็นเหตุทุกข์.........ผูกพันมากมี
สุขไม่กี่ปี..........................ต้องพรากจากไป...........ตายแล้วเกิดอีก
ไม่มีทางหลีก....................เพราะอนุสัย..................กิเลสเหตุพา
เกิดแก่เจ็บตาย.................ไม่วางไม่วาย................ไม่สิ้นเสียที

สิ่งนี้เป็นเหตุ.....................พระองค์ทรงเทศน์..........กิเลสร้ายหนี
ละบ่วงโลกีย์.....................มุ่งสู่นิพพาน.................นิพพานเป็นสุข
ทุกข์ไม่เผาผลาญ.............พ้นจากบ่วงมาร.............พ้นบ่วงอบาย.

..............................นิพพานนัง สัมปัจจะโยโหตุ

7



นี่แหละผลกรรม ( เผาทั้งเป็น )


    เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็นวันวิสาขบูชาในปี ๒๕๑๓ ข้าพเจ้ากับพวกได้เดินทางแต่เช้าไปยังจังหวัดสิงห์บุรี โดยผ่านไปทางจังหวัดลพบุรี ตั้งใจไปนมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ วัดอัมพวัน เราไปถึงยังไม่ ๑๐.๐๐ น. เช้า และได้พบปะกับท่าน เราได้รับการต้อนรับอันดียิ่งและได้พบกับหลายท่านที่มาประชุมเลี้ยงพระที่วัด เมื่อได้นมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ และได้สนทนาอยู่พอควรแล้ว ก็ตั้งใจจะกราบนมัสการลาท่านกลับ เพราะเพื่อนๆ ตั้งใจว่าจะแวะไปนมัสการหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองและจะเลยไปดูบริเวณค่ายบางระจันซึ่งเป็นที่วีรบุรุษไทยได้แสดงฝีมือสู้รบกับข้าศึกอย่างกล้าหาญ พลีชีวิตเพื่อชาติศาสนาในอดีต เป็นวีรกรรมอันเล่าลือตลอดมาถึงปัจจุบันแต่ท่านอาจารย์ยังไม่ยอมให้กลับ ขอให้ท่านได้ฉันเพลก่อนหลังจากนั้นจะได้มีโอกาสสนทนา ท่านจะแจกพระแล้วจึงค่อยกลับทำให้รู้สึกว่าท่านได้ให้ความเมตตากรุณาด้วยความหวังดีต่อเรา ท่านได้ทราบว่าเราจะไปเพราะพันเอกวสันต์พานิช ได้แจ้งมาก่อนแล้วแต่ก็ปรากฏว่าทางวัดได้จัดโต๊ะอาหารไว้สำหรับพวกเราและพวกที่มาชุมนุมในวัด ซึ่งวันนั้นมี คุณสมเจตน์  วัฒน์สินธุ ไปจากพระนครเป็นเจ้าภาพจัดงานทำบุญเลี้ยงพระและได้จัดอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ไว้สำหรับเลี้ยงดูผู้ที่ไปวัดโดยทั่วถึง
            วันนั้นข้าพเจ้าได้รู้จักท่านผู้มีเกียรติหลายท่าน ทั้งท่านที่ไปจากพระนครและต่างจังหวัด เท่าที่จะได้ก็คือ ท่านอาจารย์หล่ำ เชาว์บำรุง ท่านผู้นี้อดีตเคยเป็นสมภารเจ้าวัดมาก่อน ปัจจุบันสึกออกมาครองเรือน แต่ท่านก็ได้มาช่วยดูแลจัดการอยู่ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เห็นจะเป็นวันวิสาขบูชา ฉะนั้นท่านจึงมีเรื่องเล่าให้ฟังมาก หากแต่เวลานั้นข้าพเจ้ายังไม่พร้อมที่จะจดจำไว้หมดได้ จึงขอร้องให้ท่านบันทึกส่งมาภายหลัง เพื่อข้าพเจ้าจะได้พิจารณาดูว่าเรื่องใดที่จะเข้าใน “กฎแห่งกรรม”  พอที่จะเขียนออกมาได้ท่านได้พยายามบันทึกส่งมาให้ข้าพเจ้าหลายเรื่องทางไปรษณีย์ คิดว่าคงใช้เวลาไม่น้อยและได้แต่งโคลงให้เกียรติยกย่อง ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณแต่รู้ตัวว่าไม่ดีเท่าที่ท่านยกย่องจึงต้องขอตัว ตอนหนึ่งท่านพูดว่า
        “บุคคลเราเกิดมาในโลกนี้ ถ้าไม่สร้างคุณงามความดีให้แก่ตนและคนอื่นบ้าง ชีวิตของผู้นั้นเกิดมาก็เป็นโมฆะตายเปล่า ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลังระลึกถึงบ้าง ถ้าเป็นพ่อค้าก็ขาดทุน เพราะไม่ได้ทำอะไรให้เป็นกำไรของชีวิต”
            นี่เป็นถ้อยคำที่ท่านได้กล่าวไว้ จากนั้นท่านก็เล่าชีวิตอดีตของท่านเมื่อครั้งเด็กว่า
            “ผมเกิดในตำบลที่ขึ้นแก่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผมเป็นเด็กท้องนา หากเป็นฤดูข้าวสุกออกรวงจะเหลืองอร่ามเข้ารับท้องฟ้าสีครามเมฆขาวเมื่ออากาศแจ่มใส แลดูเป็นภาพที่สวยสดงดงาม ตลอดทั้งท้องนาอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นทัศนียภาพที่เจริญตายิ่งนัก ดูไม่รู้เบื่อ แต่เมื่อเข้าหน้าแล้งท้องนาก็แห้งกลายเป็นท้องทุ่งมีสันดอนเป็นเนินอยู่กลางเป็นป่ารกทำนาไม่ได้ พอพ้นเนินดอนไปแล้วก็เป็นทุ่งอันกว้างใหญ่สุดสายตา เช้าขึ้นพวกชาวบ้านต่างก็ต้อนควายให้พ้นป่าเนินดอนออกไปปล่อยกลางทุ่งให้ไกลพ้นหลังบ้านซึ่งเป็นไร่อ้อย เพื่อให้มันหาหญ้ากินตามสบาย พอเย็นก็พากันไปต้อนควายกลับเข้าคอก ควายของใครก็เข้าคอกใคร
        ตอนที่เป็นเนินดอนมีผู้ไปสร้างศาลาพักร้อน และขุดบ่อน้ำไว้เพื่อชาวบ้านและผู้เดินทางและผู้เดินทางไกลจะได้พักอาศัยยามร้อน และมีบ่อน้ำเพื่อใช้อาบกินเป็นสาธรณประโยชน์ เนินดอนที่เป็นป่าไม่ห่างไกลจากหลังบ้านผมมากนัก
            ผมยังจำได้ดีว่า เวลานั้นผมอยู่ในวัยรุ่น เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ผมได้ออกไปทุ่งกว้างกำลังต้อนควายกลับเดินผ่านเนินดอนเพื่อจะไล่ควายเข้าบ้านสะดวกขึ้น แต่เมื่อยังไม่ทันพ้นป่าตอนเนินดอนก็ได้ยินเสียงห้าวๆ อย่างวางอำนาจว่า “เฮ้ย มึงปล่อยควายแล้วมานี่เดี๋ยว” ผมหันไปมองดูก็เห็นเป็นตาชม ซึ่งเป็นคนอยู่ใต้บ้านถัดไป ๔-๕ หลังคาเรือน ผมนึกในใจว่านี่ตาชมจะเรียกเราเข้าไปทำไมในป่าเนินดอนเพราะตามปกติตาชมคนนี้เป็นนักเลงหัวไม้ ชอบพาลหาเรื่องเกะกะชอบตีรันฟันแทง ทั้งมีชื่อเสียงเป็นนักขโมยควายไปเรียกค่าไถ่ จะเรียกว่าเป็นโจรปล้นวัวควายก็คงไม่ผิด ถ้าใครไม่เอาเงินมาไถ่ควาย แกก็ฆ่าเอาเนื้อทำเค็มขาย ไม่เคยรู้จักบุญบาปเวรกรรม ชาวบ้านทั้งเกลียดและทั้งกลัวแกเป็นคนดุร้ายไม่มีศีลธรรม เมื่อได้ยินเสียงแกเรียกใจคอผมก็ไม่สบาย เพราะแม่เคยบอกว่าอย่าไปคบกับพวกคนชั่วจะติดนิสัย จะกลายเป็นคนชั่วไปด้วย เพราะแม่เคยรู้ว่าตาชมคนนี้เป็นหัวหน้า มีพวกสมุนวัยรุ่น ชอบใช้เป็นเครื่องมือให้ไปขโมยควาย
            ผมจำเป็นต้องปล่อยควายไว้แล้วเดินเข้าไปหาตาชมอย่างไม่เต็มใจ เพราะรู้สึกหวั่นๆ ใจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่พอเข้าไปใกล้ก็เห็นพวกนี้เขากำลังดื่มน้ำกะแช่กัน ซึ่งรินจากไหกระเทียมใหญ่ใส่กะลามะพร้าวนั่งล้อมวง รู้สึกบางคงชักจะสะลึกสะลือ กลางวงมีกับแกล้มใส่กระทงใบตองเป็นหอยโข่งพล่าหรือยำ ตาชมเรียกให้ผมนั่ง แล้วจัดแจงรินน้ำกะแช่ส่งมาให้ผมเต็มกะลาแล้วพูดว่า
            “เอ้า ดื่มเสียให้หมดในกะลานี่แหละอ้ายหลานชาย” ผมรู้สึกไม่สบายใจจึงบ่ายเบี่ยงไปว่า “ผมต้องขอตัวครับ ผมดื่มไม่ได้ ถ้าดื่มต้องไม่สบาย” ตาชมทำตาขวางแสดงกิริยาไม่พอใจ แล้วพูดว่า “ถ้ามึงไม่กิน มึงก็ไม่นับถือกูซิวะ พวกกูต้องกินเป็นทุกคน ไม่กินไม่ได้ ถ้ามึงไม่กินกูจะเตะมึง” ผมเองก็ตกใจ เพราะเสียงตาชมแสดงกิริยาเอาจริงเอาจัง ทำท่าจะเริ่มโกรธตามนิสัยของแก ไม่ยอมให้ใครขัดใจ เมื่อผมไม่มีทางเลือกจึงพูดเอาใจแกว่า
            “ผมเคารพนับถือลุงมาก แต่มากดื่มกะแช่มันคงทำให้ผมไม่สบายแน่ เพราะผมก็ไม่เคยดื่มมาก่อน แต่เมื่อลุงจะให้ผมดื่มจริงๆ เพื่อลุงผมก็ขอดื่มแต่น้อยๆ ก่อน ถ้าเมามากควายมันจะหาย แล้วผมจะกลับบ้านไม่ได้” ตาชมแกรู้สึกชอบใจที่ทำให้ผมดื่มได้ ก็คลายโมโหลงไปเพราะแกชอบเอาชนะคน แล้วพูดว่า
            “เออ ถ้าอย่างงั้นก็เอา” แล้วแกก็ยื่นกะแช่ที่จะให้ผมดื่มไปให้คนอื่นดื่มก่อนแล้วแกก็รินครึ่งกะลาส่งมาให้ผมแล้วพูดว่า “ดื่มเสียอ้ายหลานข้า ว่าง่ายๆ อย่างนี้ซิไม่เจ็บตัวหัดเป็นนักเลงลูกผู้ชายเสียบ้าง มันจะเข้มแข็งเหมือนกูอ้ายเรื่องควายกูรับรองมันจะหายหรือไม่หายอยู่ที่กูคนเดียวตลอดทั้งบางนี้”
            ผมได้พยายามแข็งใจยกขึ้นดื่ม แสนจะลำบาก แล้วก็กลืนลงไปในลำคออย่างขมขื่น นึกในใจว่าเด็กรุ่นที่เสียผู้เสียคนก็คงอย่างนี้เอง เพราะพวกผู้ใหญ่ใจพาลบังคับด้วยอำนาจพาลให้ทำชั่ว เมื่อตาชมเห็นผมดื่มแล้วแกก็ดีใจหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “เออ มันต้องอย่างนี้ซิอ้ายหลานกู” พลางแกก็อวดตัวว่าเป็นนักเลงใหญ่ พูดพล่ามว่า
            “แถวนี้เอ็งควรจะรู้ไว้บ้างว่าควายใครจะหายหรือไม่หายมันอยู่ที่กู ถ้ากูไม่ใช้ลูกน้องให้ไปขโมย หรือกูไปขโมยเองแล้วมันก็ไม่หาย” เวลานั้นผมจำได้ว่านอกจากตาชมกับพวกเพื่อนคู่หูอายุคราวเดียวกันอีก ๒ คนร่วมทำโจรกรรมกันมานานแล้ว ยังมีเด็กวัยรุ่นถึงจะอ่อนแก่กว่าผมก็ไม่มากนักอีก ๓ คน พวกนี้รู้สึกว่าเป็นลูกน้องคอยฟังคำสั่งของตาชมให้ไปขโมยควาย ขโมยวัวที่ไหน แม้ชาวบ้านจะรู้ว่าควายหายวัวหายนั้นไม่มีพวกอื่น ต้องเป็นพวกตาชม แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่อำเภอ เพราะกลัวอิทธิพลของแก เมื่อแกเริ่มคุยอวดว่า “พูดแล้วจะว่ากูคุยนับตั้งแต่กูขโมยควายชาวบ้านตลอดมา ฆ่าเอาเนื้อขายเอาหนังมาลิ่วเป็นเส้นเชือก (คำว่า ลิ่ว หมายถึง เอามีดเฉือนหนังวัวหนังควายทำเป็นเชือกหนัง) ต่อกันเข้า กูว่าจากบ้านเรานี่มันยาวเห็นจะเลยเมืองสุพรรณเชียวมึงเอ๋ย” เมื่อแกคุยความสามารถของแกแล้วก็หันมาทางผมแล้วพยักหน้าไปทางบ้านผม แล้วพูดว่า
            “มึงรู้ไหมว่า เมื่อก่อนไม่เป็นคลองควายหรอกวะ นับแต่อ้ายนักเลงเก่ามันมีควายมากนับร้อยๆ ม้ามันก็มีไม่น้อยมันทั้งขโมยและซื้อเอาไปขาย ไปปล้นเขาบ้างแล้วแต่โอกาสมันมาขอเดินผ่านข้างบ้านมึง พอหน้าฝนมันย่ำไปมาเลยเป็นคลองเป็นทางเลย เลยเรียกว่าคลองควาย อ้ายนักเลงเก่าคนนี้มันมีชื่อเสียงโด่งดังสมัยหนึ่ง มีอิทธิพลมากเป็นที่เกรงกลัวทั่วไปทั้งตำบล แต่เดี๋ยวนี้ชื่อมันดับไปแล้ว กูจึงขึ้นมาแทน ถ้ามึงไม่เชื่อกูก็ไปถามแม่มึงดูจะรู้ดี” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจว่า “แต่เดี๋ยวนี้บ้านช่องมันโทรมหมด พวกญาติของอ้ายเสือเก่าและอ้ายพวกลูกสมุนของมันหมดชื่อเสียงเวลานี้ทางบ้านมันมีควายทั้งตัวผู้ตัวเมียเห็นจะไม่กี่ตัว มึงรู้ไหมว่ามันไปไหนหมด ควายเป็นฝูงๆ มันหายไปไหนหมด” ผมตอบว่า “ผมรุ่นเด็กถ้าลุงไม่บอกผมก็ไม่รู้” ตาชมหัวเราหึๆ ชอบใจแล้วพูดว่า “เมื่อกูเป็นเด็กยังไม่โกนจุก แต่ก็ยังจำความได้ดี ก็เจ็บใจอ้ายนักเลงใหญ่เวลานั้น กูผูกพยาบาทคิดว่ากูไม่โตขึ้นหรือมันไม่แก่ตายก็แล้วไป ถ้าหากกูโตขึ้นมันแก่ลงเวลาใด เวลานั้นก็จะถึงเวลาของกูบ้างละ กูเจ็บใจมัน ผูกใจเจ็บตลอดมา สาเหตุเกิดเพราะอ้ายนักเลงเก่าคนนี้มันใช้ให้คนมาขโมยควายบ้านกูจนหมดคอกจนพ่อกูไม่มีควายจะไถนาพ่อกูกลัวอิทธิพลสันดานชั่วก็ปล่อยให้มันข่มเหง แม้กูจะเจ็บใจแต่กูก็เด็กเกินไปที่จะคิดบัญชีกับมัน คอยเวลากูเป็นหนุ่มใหญ่เสียก่อน แล้วมันก็ต้องแก่ลง กูคิดผูกพยาบาทมันอยู่ตลอดเวลา แต่นั้นมาเมื่อเวลากูโตขึ้นกูจะทำอย่างใดให้สมกับความแค้น หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง นี่แหละวะอ้ายหลานชาย มันเป็นต้นเหตุให้กูเริ่มใช้ชีวิตชั่วเพราะความเจ็บใจแค้นใจ พอกูเริ่มโตพอวัยรุ่นกูได้สมัครพรรคพวกก็เริ่มขโมยความของมันบ้าง ครั้งแรกๆ ทีละตัวสองตัว ต่อมาทีละ ๘ ถึง ๑๐ ตัว บางครั้งก็มากกว่านั้น กูเลือกแต่ตัวดี ก็ตั้งใจว่าจะขโมยมันให้หมดให้สมกับกูสุมความเค้นอยู่ในอกตลอดมา กูลักควายตั้งแต่มึงยังไม่เกิด กูลักควายของมันสบายมาก เพราะเวลากลางคืนมึงก็รู้ว่าบ้านมันมีคนไม่น้อยแต่กูก็วางแผนรมยาให้มันหลับหมดทั้งบ้าน กูก็ต้อนสบายเมื่อเช้ามันตื่นขึ้นควายก็หายเป็นคอกๆ แล้ว บางครั้งก็เผาไร่อ้อยของมัน พอมันรู้ว่าไร่อ้อยถูกไฟไหม้ มันก็ตกใจพากันวิ่งไปดับไฟ ทางนี้กูอยู่กับพวกก็ต้อนควายอย่างสบายมันจึงเจ็บใจทั้งแค้นใจ สมใจนักก็เพราะมันเคยทำกับพ่อกูเมื่อกูยังเด็ก มันถึงเวลากูบ้างแล้ว สมน้ำหน้ามันต้องเสียทั้งควายทั้งไร่อ้อย อ้ายนักเลงเก่าหมดท่ามันเคยทำแก่คนอื่นอย่างไร กูก็ทำกับมันอย่างนั้น ความชั่วติดง่ายแล้วกูก็ได้ใจเลยขโมยควายขโมยวัวชาวบ้านดะทั่วไป กูขโมยควายขโมยวัวชาวบ้านแถบนั้นใครจะรู้หรือไม่รู้มันขืนไปบอกเจ้าหน้าที่หรือตะโกนด่า กูก็ให้ลูกน้องมันไปเผาไร่อ้อย สมัยหน้าแล้งเขาปลูกอ้อยทำสวนไว้หลังบ้านด้วยกัน ถ้าบางคนทำกูเจ็บใจมาก กูก็เลยเผามันทั้งบ้าน อ้ายพวกเจ้าของบ้านต้องนั่งร้องไห้ บ้านไม่มีจะอยู่ ข้าวไม่มีจะกิน เพราะมันหมดตัวชาวบ้านเขาพากันสงสารช่วยเหลือตามมีตามเกิด แต่กูกลับหัวเราะสนุกดี ฉะนั้นชื่อเสียงกูจึงโด่งดังในทางชั่ว เมื่อกูใช้ให้คนไปเผาบ้านก็นั่งกินเหล้าในตลาดสบายใจ พอชาวบ้านร้องว่าไฟไหม้ไร่อ้อยหรือไฟไหม้บ้านก็ดี กูทำเป็นสนใจตื่นเต้นไปกับเขาด้วยใครจะมาสนใจกู” แกพูดแล้วก็รินกะแช่ส่งมาให้ผมอีก ผมก็ร้องบอกแกว่า “ลุงครับคราวนี้ขอให้น้อยหน่อยผมชักจะเมาหูตาลายแล้ว” แกหัวเราะชอบใจแล้วก็รินมาตามความประสงค์ของผม ผมก็พยายามแข็งใจดื่มเพราะกลัวอำนาจเถื่อนของแก ตาชมแกโม้ต่อไปว่า “เมื่อกูวัยรุ่นนึกแค้นพยาบาทแล้ว ก็คิดว่ากูควรจะต้องหาวิชาใส่ตัว กูจึงไปเที่ยวหาอาจารย์ที่มีความรู้ดีในทางเครื่องรางของขลังเพื่อหาวิชาป้องกันตัว กูจึงเรียนรู้มีวิชาอยู่ยงคงกระพัน มีดปืนไม่สามารถจะมาระคายผิวหนังกูได้ พูดแล้วอย่าว่ากูคุยเลยวะกูสามารถจะคัดเลือกและประสานแผลและดับพิษไฟได้”
            ตาหว่างซึ่งเป็นคู่หูของตาชมนั่งสะลึมสะลือตาปรือฟังคำตาชมพูด พอได้ยินว่าสมานแผลให้ติดได้ก็ลืมตาขึ้นมาพูดว่า “อ้ายเกลอเอ๋ย ข้ายังสงสัยไม่หายเมื่อคราวที่เกลอไปอาละวาดตีกับพวกเจ๊กที่โรงบ่อน อ้ายเกลอถูกเจ๊กมันสับด้วยมีดปังตอที่ชายโครงเป็นแผลเบ้อเร่อ ข้าเห็นแล้วเสียวไส้คราวนั้นทำไมไปเสียทีอ้ายเจ๊กโรงบ่อนได้ ครั้งก่อนๆ ก็เห็นอ้ายเกลอเคยอยู่ยงคงกะพันฟันไม่เข้าไม่ว่าดาบหรือมีดไม้แมลงวันไม่เคยได้กินเลือดเกลอได้เลย ข้าเสียอีกเคยถูกฟันเป็นแผลยังต้องมาหาอ้ายเกลอคัดเลือดให้ และประสานแผลให้ติดจนหาย แต่อย่างไรคราวนั้นจึงเสียท่าเจ๊ก ข้าสงสัยข้าคิดว่าเกลอตายเสียแล้ว เห็นอ้ายเกลอวิ่งกุมชายโครงเลือดไหลโชก โดดลงไปดำน้ำ ครั้งแรกข้าเห็นเกลอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำข้างตนเห็นเลือดยังแดง แล้วเห็นดำลงไปใหม่แล้วโผล่ขึ้นมาอีกยังเห็นปากแผลเลือดยังไหล ข้านึกในใจปลงอนิจจังว่า เกลอข้าคราวนี้เห็นจะสิ้นชื่อเสียแล้ว แต่พอโผล่ขึ้นมาอีกครั้งเห็นแผลมันติดไม่มีเลือดไหลออกมา ใจข้ามาเท่าพ้อม ข้าดีใจมากว่าอ้ายเกลอข้าไม่ตายแน่”
            ตาชมหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “อ้ายหว่างเอ๋ยกูไม่ตายง่ายๆ หรอกวะปืน ดาบ มีด ไม้ ไม่ระคายผิวหนังกูได้ถ้ากูไม่ประมาทคราวนั้นกูเมาไปหน่อยเกิดประมาท เกิดพลั้งปากไปด่าแม่มันเข้าไม่ทันคิด เมื่อคิดได้ว่าครูบาอาจารย์ได้สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าไปด่าแม่เขา ถ้าด่าแม่ใครของขลังก็คุ้งครองตัวไม่ได้กูก็เลยเสีย เมื่อกูรู้ว่าเสียเพราะพลั้งปากไปด่าแม่ กำลังใจกูก็หมดไป เมื่อถูกฟันก็เข้าเป็นแผลเบ้อเร่อ กูต้องวิ่งหนีกุมแผลชายโครงวิ่งไปทางบ้านแล้วโดดลงไปในน้ำ กูรีบดำน้ำลงไปว่าคาถาประสานเนื้อแผลให้มันติดกัน เห็นจะเป็นเพราะกูตกใจนึกว่าไส้ไหลหมดกำลังใจ เพราะกูเคยถูกฟันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเข้าสักที นี่เป็นครั้งแรก กูเลยว่าคาถาผิดๆ ถูกๆ นึกขึ้นต้นคาถาจับบทไม่ถูก ต้องรีบทะลึ่งขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจ เมื่อหายใจแล้วก็ดำลงไปครั้งที่สองคราวนี้กูดันไปว่าคาถาเกี้ยวสาวเข้า ขึ้นตอน อิทะเจติโส ฯลฯ มันผิดหมด แผลมันจะติดได้อย่างไรวะ มันไม่ใช่คาถาประสานแผลให้ติดกัน คราวนี้โผล่ขึ้นมากูตั้งสติใหม่ไม่ให้หวาดกลัวตื่นเต้น ทำใจให้เข็มแข็งให้มีสติสงบนึกถึงครูบาอาจารย์ พอนึกได้จำได้ก็รีบดำลงไปใหม่ แล้วก็กลั้นใจว่าคาถาอยู่ใต้น้ำ ขึ้นต้นว่า อิติมังสัง โลหิตตัง ภควันตัน ปิตถิโตฯ คราวนี้โผล่ขึ้นมาปากแผลก็ปิดสนิท กูก็ดีใจ” แล้วตาชมก็หัวเราะ พลางหันหน้ามาทางผม “อ้ายหลานชายเอ็งจะจำของข้าไปใช้ก็ได้ ข้าจะประสิทธิ์ประสาทอนุญาตให้เอ็ง แต่เอ็งต้องมีความเลื่อมใสศรัทธา มีใจเข็มแข็ง มิฉะนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สำคัญอยู่ที่ใจ” ตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบันนี้ผมยังจำได้ดีไม่เคยลืม แต่ไม่เคยลองใช้สักที และก็ไม่อยากจะลอง เพราะใจไม่แน่ก็ไม่ได้ผล ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีอาการสะลึมสะลือลิ้นไก่สั้นลงทุกที ดื่มกันจะกะแช่หมดไห เสียงตาชมพูดอ้อแอ้ว่า “อ้ายหว่าง พรุ่งนี้มึงเพิ่มให้มากกว่านี้เผื่อหลานกูด้วยนะโว้ย และกูขอบอกให้มึงรู้ว่ากูได้ค่าไถ่ควายจากอ้ายพวกตอนใต้หนึ่งชั่ง ก็ว่าจะยังไม่แบ่ง เอาไว้เป็นทุน เอาไว้รวมแบ่งคราวหน้า เมื่อถึงเวลาพวกมึงก็มากินกันที่นี่แหละวะ”
            ตาคล้ามซึ่งปกตินั่งฟังไม่ได้พูดอะไรเลยก็เอ่ยขึ้นมา “กลับบ้านกันเหอะเย็นแล้วเดี๋ยวควายเราจะไปกินอ้อยหลังบ้านใครก็จะโดดด่า อย่ามัวนั่งเฉื่อยชาอยู่เลย” ตาชมพูดขึ้นว่า “ใครจะกล้ามาด่ากูวะใครด่าพ่อเผาไร่เผาบ้านฉิบหายหมดเลย กูเผามามากแล้วมึงไม่ต้องกลัวใคร” ในวันนั้นไม่มีเหตุดีร้ายอะไรเกิดขึ้น ชีวิตผมผ่านไป เพียงแต่ผมเมากะแช่เพราะดื่มเป็นครั้งแรกเท่านั้น เห็นจะเป็นดวงผมยังดีไม่ต้องตกไปเป็นพวกตาชมจึงมีเหตุเกิดขึ้นเสียก่อน
            ครั้งนั้นห่างจากแถวบ้านของตาชมใต้ลงไปเพียงชั่วตรอกเดียว มีกระท่อมหลังเล็กๆ เป็นที่อยู่ของสองผัวเมียหากินในทางไม่สุจริต ผัวชื่อตาปล้อง เมียชื่อ นางแจ่ม แกมีเรืออยู่ลำหนึ่ง ชอบหากินกลางคืน ผัวพายหัวเมียพายท้ายมีแหติดไปในเรือปากหนึ่งบังหน้า แต่แกไม่ได้หากินในทางทอดแห สองผัวเมียชาวบ้านเขาให้ชื่อว่าแมวน้ำหรือตีนแมวเพราะแกพายเรือเฉียดเข้าไปข้างเรือหรือเรือบรรทุกสินค้าที่จอดพักนอน ถ้าลำไหนเห็นว่าคนไม่หลับหรือยังไม่นอนแกก็ผ่านไป  เมื่อเวลาตี ๑ ตี ๒ คนในเรือมักจะหลับสนิท เพราะกลางวันทำงานหนักกลางคืนก็หลับเหมือนตาย แกก็ฉวยโอกาสย่องขึ้นไปขโมยของในเรือลำนั้นขนถ่ายลงเรือแกมิฉะนั้นก็เกาะตามเรือพ่วงคอยคนเผลอ หากินเช่นนี้เป็นประจำ วันไหนได้ของมากมายก็ร่ำรวยไปพักหนึ่ง  เมียก็กินเหล้าเมาตลอดเวลา เจ้าผักก็นอนสูบฝิ่นสบายใจไปพักหนึ่งหมดแล้วก็หาใหม่ คราวหนึ่งไปขนเอาของมาได้หลายอย่างนอกจากนั้นยังมีน้ำมันปีบหนึ่งที่ย่องมาจากพวกเรือสินค้าได้ก็นำมาขายให้ชาวบ้าน มีผู้รับซื้อ ในคราวนั้นตาชมแกก็ซื้อน้ำมันปีบนั้นเอาไว้ให้เติมตะเกียง และเสื้อกันหนาวที่สาวใส่ทางคอเป็นเสื้อยืดหนาว ในเวลานั้นเป็นฤดูหนาว อากาศคืนนั้นหนาวมาก ตาชมใส่เสื้อยืดหนาวแนบเนื้อที่ซื้อมาจากสองผัวเมียตีนแมวที่ย่องมาได้จากเรือบรรทุกสินค้าขึ้นล่องนั่นเอง คืนนั้นยังหัวค่ำบังเอิญน้ำมันตะเกียงกำลังจะหมดลงตาชมแกก็จัดแจงเจาะปีบน้ำมันที่ซื้อมา หวังจะสูบใส่ขวดจะเติมใส่ตะเกียง เห็นจะเป็นเพราะถึงคราวเคราะห์กรรมตามสนองตาชมที่แกใช้ตะเกียงกระป๋องแบบทำง่ายๆ ใช้เหล็กวิลาสบางๆ แบบกระป่องนม ตรงกลางเป็นฝาสวมบัดกรีเป็นหลอดโผล่ขึ้นมา สำหรับใส่ด้ายดิบเป็นไส้ไม่มีอะไรบังลมและบังคับแสง ถ้าลมแรงๆ ก็ดับ ถ้าดึงไส้ด้ายดิบตะเกียงขึ้นสูงก็ลุกสว่างขึ้น แต่มีเขม่าดำมาก เมื่อตาชมเจาะปีบน้ำมันก็ยกตะเกียงชูขึ้นส่องดูเวลาเจาะปีบให้รูมันใหม่ปรากฏว่าไม่ใช่น้ำมันก๊าดกลายเป็นน้ำมันเบนซิน ไอระเหยแรง เมื่อใกล้ไฟและน้ำมันกระเด็นขึ้นมาเวลาเจาะถูกแสงตะเกียงก็เกิดลุกพรึบขึ้นมา เปลวไฟลามไปถึงในปีบเข้ารอยที่เจาะไว้เป็นรู ความไวของเบนซินทำให้ตาชมตกใจตะลึงไม่รู้จะทำอย่างไร งงไปหมด เพราะไม่เคยนึกว่าเป็นน้ำมันเบนซิน ไวไฟทันใจลุกลามไประเบิดขึ้น น้ำมันกระจายไปทั่วห้อง และสำหรับตัวตาชมทำชั่วไว้มาก น้ำมันเปียกเสื้อยืดกันหนาวจนชุ่ม ไฟลุกท่วมตัว จะถอดก็ถอดไม่ได้ เพราะเสื้อมันแนบเนื้อต้องถอดออกทางคอ แต่ไฟลุกท่วมตัวอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไรเพราะชาดสติ ยายเมียเห็นตกใจก็ตะโกนเรียกชาวบ้านให้มาช่วย ชาวบ้านทั้งบ้านเหนือบ้านใต้ต่างเอะอะโวยวายตกใจ ต่างพากันวิ่งไปช่วยดับไฟบนเรือน บางคนก็นึกสมน้ำหน้าแต่ถ้าไม่ช่วยก็กลัวไฟจะลามมาไหม้บ้านตัวไปด้วย ก็เห็นตาชมวิ่งไฟท่วมตัววิ่งรอบบ้านเพราะตกใจไม่มีสติ บางคนตะโกนบอกว่าไปโดดน้ำแต่ผู้ใหญ่บางคนรู้เรื่องดี ร้องห้ามว่าอย่าโดดน้ำประเดี๋ยวตาย ให้โดดลงไปกลิ้งเลน ตาชมแข็งใจวิ่งไปท่าน้ำกระโดดลงไปในเลนกลิ้งตัวพักหนึ่งไฟจึงดับ เมื่อพวกชาวบ้านช่วยกันดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถจะรักษาตัวบ้านไว้ได้ แต่ก็ไหม้เฉพาะบ้านของตาชมเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้วไฟก็สงบลงแล้วพวกชาวบ้านก็ต้องลงไปช่วยกันหามร่างตาชมขึ้นจากเลนแล้วนำมาช่วยกันพยาบาลตามมีตามเกิดบนบ้านญาติพวกเพื่อนบ้านก็ต้องช่วยกันเอาใบตองมารองตัวตาชมเพราะหนังถลอกเพราะเนื้อสุก กว่าจะใช้ตะไกรตัดเสื้อที่ยังไม่ไหม้ออก ตาชมทนเจ็บไม่ไหวก็ร้องโหยหวนเหมือนหมาหอน เพราะความปวดแสบปวดร้อนกัดฟันสั่นหน้าแม้จะสงสารก็ต้องตัดออกมิฉะนั้นก็กลัวเนื้อจะเน่า บางคนใช้น้ำมันมะพร้าวชุดสำลีอ่อนๆ ค่อยทาตามตัว แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้แกหายกระวนกระวายลงได้ ตาชมแกร้องครวญโวยวายเพ้อทุรนทุราย บางคนรู้ว่าแกมีคาถาอาคมเตือนสติว่า “คาถาดับพิษไฟล่ะ ลุงชม เอาออกมาใช้ซิ” เสียงตามครางอย่างน่าสงสารแล้วพูดว่า “คาถา คาถาดับพิษไฟ กูลืมหมดแล้ว บัดนี้กูทั้งปวดทั้งแสบร้อน กูทนไม่ไหวกูไม่มีสติจะคิดอะไรเลย” พอขาดคำแกลืมตัวดิ้นรนเหมือนจะพยายามหนีอะไรอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังที่สุกก็ถลอดจนเนื้อในแดงๆ มองดูคล้ายเนื้อวัว เนื้อควาย บางตอนก็มองเห็นกระดูก ตลอดเวลาแกดิ้นไม่หยุด ใครจะจับไม่กล้ากลัวเนื้อแกจะหลุดติดมือออกมาด้วย ได้แต่มองดูแกด้วยความสงสารปลงอนิจจัง ปล่อยให้แกดิ้นคล้ายแกกำลังจะหนีอะไร เลือดติดหนังติดเนื้อติดบนใบตอง ชาวบ้านไปเยี่ยมมองดูแกแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้ แม้แกจะเคยสร้างกรรมชั่วไว้มากมาย แต่บัดนี้กรรมนั้นกำลังจะสนองส่งแกไปสู่สุคติอยู่แล้ว เพราะแกร้องดิ้นโวยวายแสดงกิริยาจะหนีท่าเดียว แกดิ้นรนตลอดเวลาเหมือนว่าแกกลัวมากจนสุดขีดจึงไม่นึกถึงเนื้อหนังที่หลุดอกมาเพราะสุกเจ็บปวดขนาดหนักคิดว่ายังน้อยกว่าความกลัว ชาวบ้านต่างเห็นแล้วก็เกิดสังเวชใจ แม้จะรู้ว่าแกเคยปล้นความเผาบ้าน เผาไร่อ้อยชาวบ้านมาก่อนก็ดี แต่บัดนี้แกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เห็นแล้วน่าเวทนาและเศร้าใจ แม้บางคนจะเคยเกลียดชังแกมาก่อน บัดนี้เมื่อเห็นสภาพที่แกได้รับทุกข์อาการป่วยได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ ต่างก็อโหสิกรรมให้แก เพราะรู้ว่าแกหมดโอกาสที่จะได้สร้างความชั่วได้อีกต่อไปแล้ว แต่บางครั้งแกก็กลับได้สติบ้างเป็นพักๆ แล้วก็หยุดดิ้นรน ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นก็สงสาร นึกว่าชีวิตคงจะถึงที่สุดในไม่ช้า จึงพูดนำทางเตือนให้แกเมื่อแกพอจะได้สตินึกถึงพระถึงเจ้าบ้าง จึงให้สติเตือนแกว่า “ชมเอ๋ยเอ็งนึกถึงพระอรหังไว้บ้างนะ เวลาจะไป จะได้ไปในที่ชอบ” เสียงตาชมแกพูดสวนขึ้นมาอย่างดุๆ ตามนิสัยของแก่ว่า “พระอะไรมีหางวะ กูเห็นแต่วัวควายมีหางแต่กูไม่เคยเห็นพระมีหางเลย กูกำลังเห็นแต่วัวควายเป็นฝูงๆ มันกำลังโกรธตาแดงจ้องมาทางกู มันพากันวิ่งเหยียบย่ำบนตัวให้กูตาย กูจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น มันมีมากมายเหลือเกินเต็มไปหมด ฝูงแล้วฝูงอีก” ผู้มาเยี่ยมไข้ได้ฟังแล้วก็ขนลุกต่างเศร้าสลดใจ คิดว่ากรรมของแกหนักมาก พระโปรดไม่ถึงเมียแกร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะสงสารผัว เสียงแกพูดเพ้อหายใจไม่สะดวก หายใจหอบถี่เหมือนสะอึก แต่แล้วแกก็กลับเพ้อร้องโวยวายตะเกียกตะกายเหมือนจะหนีอะไรที่แสนจะน่ากลัวที่สุดและแสดงความหวาดกลัวจากกิริยาท่าทาง ตาเหลือกโปนอ้าปากค้างแล้วตัวก็บิดเบี้ยวร้องเสียงเหมือนเวลาวัวควายกำลังจะถูกฆ่า ร้องครวญครางเหมือนแสะจะเจ็บแสนจะทรมาน ที่สุดอ้าปากตาค้างหมดลมหายใจตาชมทรมานได้เพียง ๒๔ ชั่วโมง หลังจากไฟไหม้บ้านหมดแล้วนำขึ้นมาพยาบาลบนเรือนญาติ ชีวิตของตาชมก็สิ้นลงนี่เป็นกรรมอันหนึ่งของมนุษย์ปุถุชนเรา เวลาทำไม่ค่อยได้นึกว่ากรรมนั้นจะตามมาสนองเมื่อวิญญาณออกจากร่างและคงมีอีกไม่น้อยแบบตาชม เรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์บ้างหากท่านอ่านแล้วคิด ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านอาจารย์หล่ำ เชาว์บำรุง บ้านเลขที่ ๑ หมู่ที่ ๓ ตำบลพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ผู้ส่งเรื่องนี้มาให้



ที่มา http://www.jaisabuy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538776543
 :07: :07: :07:

8


กรรมซัดคนฆ่าหมู ฮึดดิ้นทำมือเชือดตกกระทะ

กรรมซัดคนฆ่าหมู ฮึดดิ้นทำมือเชือดตกกระทะ

คนฆ่าหมูถึงคราวเคราะห์ ตีหมูสลบก่อนลากขึ้นเตาเตรียมใส่กระทะน้ำร้อน แต่หมูเจ้ากรรมดิ้นเฮือกสุดท้าย สะบัดปากหลุดจากตะขอ มือฆ่าพลาดท่าตกลงไปแทน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย ต้องพาร่างที่ถูกลวกทั้งตัว ตะกายขึ้นมาเอง

คนฆ่าหมูพลาดท่าตกลงไปในกระทะต้มน้ำเดือดๆ บาดเจ็บสาหัส เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน ได้รับแจ้งว่าที่โรงพยาบาลบ้านฉาง จ.ระยอง มีผู้ประสบอุบัติเหตุน้ำร้อนลวกทั้งตัวเข้ารับการรักษา จึงไปตรวจสอบพบว่าผู้บาดเจ็บดังกล่าวคือ นายสมคิด นาคเงิน หรือแบ้ อายุ 35 ปี อาชีพพนักงานฆ่าหมูของโรงฆ่าสัตว์เทศาลเมืองบ้านฉาง

โดยอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงฆ่าหมูของเทศบาล ตั้งแต่เวลา 23.00 น. วันที่ 24พฤศจิกายน ผู้ประสบเหตุที่ทำงานอยู่ด้วยกันได้นำตัวส่งโรงพยาบาลทันที เบื้องต้นพบโดนน้ำร้อนลวกตั้งแต่กลางหลังลงไปจนถึงอวัยวะเพศ ต้นขา และแขนทั้ง 2 ข้าง

หลังจากแพทย์ให้การรักษาและใช้ผ้าสะอาดพันตามร่างกายแล้ว จึงได้แยกไปพักรักษาตัวภายในห้องแยกเชื้อ พร้อมติดป้ายห้ามเยี่ยม เนื่องจากเกรงว่าบาดแผลจะติดเชื้อ โดยนายสมคิด ยังคงดิ้นรนร้องครวญครางอย่างทรมานตลอดเวลา

ด้านเพื่อนร่วมงานของนายสมคิด เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุนายสมคิด กำลังฆ่าสุกรตามปกติ โดยใช้แป๊บตีแสกหน้าหมูให้สลบ ก่อนจะขึ้นยืนบนแท่นเตาคอนกรีตวางกระทะต้มน้ำ แล้วใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวปากหมูที่สลบอยู่ ลากขึ้นไปใส่ในกระทะ ระหว่างนั้นหมูตัวที่กำลังถูกลากขึ้นมาฟื้นจากอาการสลบและดิ้นอย่างแรง จนตะขอหลุดจากปาก ทำให้นายสมคิด เสียหลักหงายหลังตกลงไปในกระทะน้ำร้อน ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เนื่องจากน้ำกำลังเดือด นายสมคิดต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นจากกระทะเอง เพื่อนคนงานจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล

นายอติเทพ จริยเวชช์วัฒนา นายกเทศมนตรีเมืองบ้านฉาง กล่าวว่า สำหรับคนฆ่าหมูนั้นเป็นลูกจ้างของเจ้าของเขียงหมูที่นำหมูไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ เทศบาลเพียงแต่จัดหาสถานที่ให้เท่านั้น จึงไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายอติเทพ กล่าวว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายวีระ เปาอินทร์ นายกเทศมนตรีตำบลสำนักทอง จัดหาพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงฆ่าสัตว์แห่งใหม่ ตามแบบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมา โดยให้ใช้วิธีช็อตไฟฟ้า และมีรางเลื่อนหมูไปลงกระทะน้ำร้อนเองโดยไม่ต้องใช้คนงาน ซึ่งจะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ด้านคนงานฆ่าหมูรายหนึ่ง กล่าวว่า นายสมคิด ทำงานรับจ้างฆ่าหมูมานานแล้ว และต้องหาเลี้ยงครอบครัว หลังเกิดเหตุยังไม่มีนายจ้างไปดูแลแต่อย่างใด



ที่มา http://www.chongter.com/webboard/index.php?topic=2726.0

 :07: :07: :07:

9
<ข้อความจากผู้นำมาลง: mmm> ผมอยากให้ลองอ่านเรื่องนี้กันดูครับ ขึ้นชื่อว่ากรรม ซึ่งก็คือผลของการกระทำ เมื่อทำลงไปแล้ว เกิดแล้ว สำเร็จแล้ว ย่อมให้ผล มากบ้าง น้อยบ้าง ต่างกันไป แม้เจ้าของเรื่องนี้อาจจะโดนหลอก แต่ในเรื่องนี้สอนเราในหลายๆแง่ ทั้งเรื่องของความระมัดระวัง การวางตัว และสังคมในบางมุม ท่านเจ้าของเรื่องนี้ได้เผยแพร่ลงใน internet ผมเลยอยากนำมาลงต่อเพื่อสอนใจให้ ระมัดระวังในการทำกิจการงานต่างๆ และ เตือนใจว่าอย่าทำผิด หากท่านอ่านแล้วได้ข้อคิด แล้วขอผลบุญนั้นจกตกถึงเจ้าของเรื่องผู้นำมาเผยแพร่ครับ



10
เหตุต้น-ผลกรรมที่ทำกันไว้ อยากรู้เป็นอย่างไร มาดูกัน








ขอขอบคุณจากที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1018436

 :07: :07: :07: :07: :07:


หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7