แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ตถตา

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9
1
งิ้วปักกิ่ง-จ๋าพั่นกวาน [youtube]งิ้วปักกิ่ง-จ๋าพั่นกวาน[/youtube]

2
นิคมนกถา
คำส่งท้ายเรื่อง
การพรรณนาพุทธวงศ์ อันงดงามด้วยนัยอันวิจิตร
ซึ่งผู้รู้บทพรรณนาให้ง่าย ถึงความสำเร็จด้วยกถา
เพียงเท่านี้.
ข้าพเจ้ายึดทางแห่งอรรถกถาเก่า อันประกาศ
ความแห่งบาลี เป็นหลักอย่างเดียว แต่งอรรถกถา
พุทธวงศ์
เพราะละเว้นความที่เยิ่นเย่อ ประกาศแต่ความ
อันไพเราะทุกประการ ฉะนั้น จึงชื่อว่า มธุรัตถวิลาสินี.
เมื่อสาธุชน ผู้มีวาจาไพเราะ ชื่อกัณหทาส สร้าง
วิหาร ที่มีกำแพงและซุ่มประตูอันงามโดยอาการต่างๆ
ถึงพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ น่าดู น่ารื่นรมย์ เป็นที่
คับแคบแห่งทุรชนที่ถูกกำจัด เป็นที่สงัดสบาย น่า
เจริญใจ ณ ท่าเรือกาวีระ เป็นพื้นแผ่นดินที่เต็มด้วย
ชุมทางน้ำแห่งแม่น้ำกาวีระ น่ารื่นรมย์ เกลื่อนกล่น
ด้วยหญิงชายต่าง ๆ.
ข้าพเจ้าอยู่ ณ พื้นปราสาทด้านทิศตะวันออกใน
วิหารนั้น ที่เย็นอย่างยิ่ง แต่งอรรถกถาพรรณนาพุทธ-
วงศ์.
อรรถกถาพรรณนาพุทธวงศ์นี้ เว้นอันตราย
ข้าพเจ้าแต่งสำเร็จดีแล้ว ฉันใด ขอความตรึกของชน
ทั้งหลาย ที่ชอบด้วยธรรม จงถึงความสำเร็จ โดยเว้น
อันตราย ฉันนั้น.
ข้าพเจ้าผู้แต่งอรรถกถาพุทธวงศ์นี้ ปรารถนา
บุญอันใด ด้วยเทวานุภาพแห่งบุญนั้น ขอโลกจง
ประสบประโยชน์อย่างดี ที่สงบยั่งยืนทุกเมื่อ.
ขอโรคทั้งปวงในมนุษย์ทั้งหลาย จงพินาศไป
แม้ฝนก็จงตกต้องตามฤดูกาล แม้สัตว์นรกก็จงมีสุข
อย่างดีเป็นนิตย์ เหล่าปีศาจทั้งหลาย ก็จงปราศจาก
ความหิวกระหาย.
ขอเทวดาทั้งหลาย กับหมู่อัปสรเป็นต้น จงเสวย
สุขในเทวโลกนาน ๆ. ขอธรรมของพระจอมมุนี จง
ดำรงอยู่ในโลก ยั่งยืนนาน. ขอท่านผู้มีหน้าที่คุ้มครอง
โลก จงปกครองแผ่นดินให้เป็นสุขเถิด.
พระเถระโดยนามที่ท่านครูทั้งหลาย ขนานให้
ปรากฏว่า พุทธทัตตะ แต่งคัมภีร์อรรถกถา ชื่อมธุรัตถ-
วิลาสินี.
ตั้งคัมภีร์นี้ที่นำประโยชน์สืบ ๆ กันมา โดยความ
ที่สังขารตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องตกไปสู่อำนาจมฤตยู
หนอ.
คัมภีร์มธุรัตถวิลาสินี กล่าวโดยภาณวารมี ๒๖ ภาณวาร โดยคันถะ
มี ๖,๕๐๐ คันถะ โดยอักษร มี ๒๐,๓๐๐๐ อักษร.

มธุรัตถวิลาสินีนี้ เข้าถึงความสำเร็จ ปราศจาก
อันตราย ฉันใด ขอความดำริของสัตว์ทั้งหลาย ที่อาศัย
ธรรม จงสำเร็จฉันนั้น เทอญ.
จบอรรถกถาพุทธวงศ์ ชื่อว่ามธุรัตถวิลาสินี
ด้วยประการฉะนี้.

http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=336.0

3
เรื่องเบ็ดเตล็ดของพุทธวงศ์
คาถา ๑๘ คาถา มีว่า อปริเมยฺยิโต กปฺเป จตุโร อาสุํ วินายกา
เป็นอาทิ พึงทราบว่าเป็นนิคมคาถา ที่พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายวางไว้. ใน

คาถาที่เหลือ ทุกแห่ง คำชัดแล้วทั้งนั้นแล.

เวมัตตกถา
พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่ชี้แจงไว้ในพุทธวงศ์ทั้งสิ้นนี้ พึงทราบ
ว่า มีเวมัตตะ คือความแตกต่างกัน ๘ อย่างคือ อายุเวมัตตะ ปมาณเวมัตตะ

กุลเวมัตตะ ปธานเวมัตตะ รัศมีเวมัตตะ ยานเวมัตตะ โพธิเวมัตตะ บัลลังก-

เวมัตตะ

อายุเวมัตตะ
บรรดาเวมัตตะเหล่านั้น ชื่อว่า อายุเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่ง
พระชนมายุ ได้แก่ พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีพระชนมายุยืน บางพระองค์มี

พระชนมายุสั้น.

จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ๙ พระองค์เหล่านี้คือ พระทีปังกร พระ-
โกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระปทุมุตตระ พระอัตถทัสสี พระ-

ธัมมทัสสี พระสิทธัตถะ พระติสสะ มีพระชนมายุแสนปี.

พระพุทธเจ้า ๘ พระองค์เหล่านี้ คือพระมังคละ พระสุมนะ พระ-
โสภิตะ พระนารทะ พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี พระปุสสะ

มีพระชนมายุเก้าหมื่นปี.

พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ พระเรวตะ พระเวสสภู มีพระชนมายุ
หกหมื่นปี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี มีพระชนมายุแปดหมื่นปี. พระพุทธ-
เจ้า ๔ พระองค์เหล่านี้คือพระสิขี พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ

มีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี, สี่หมื่นปี, สามหมื่นปี, สองหมื่นปี ตาม

ลำดับ.

ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา มีพระชนมายุร้อยปี.
ประมาณอายุ ไม่มีประมาณ โดยยุคของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประ-
กอบด้วยกรรมที่ทำให้อายุยืน นี้ชื่อว่าอายุเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕

พระองค์

ปมาณเวมัตตะ
ที่ชื่อว่า ปมาณเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งประมาณ ได้แก่
พระพุทธเจ้าบางพระองค์สูง บางพระองค์ต่ำ. จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าคือ

พระทีปังกร พระเรวตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี พระวิปัสสี

มีพระสรีระสูง ๘๐ ศอก

พระพุทธเจ้าคือพระโกณฑัญญะ พระมังคละ พระนารทะ พระสุเมธะ
มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก.

พระสุมนพุทธเจ้า มีพระสรีระสูง ๙๐ ศอก.
พระพุทธเจ้าคือ พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระ-
ปทุมุตตระ พระปุสสะ มีพระสรีระสูง ๕๘ ศอก

พระสุชาตพุทธเจ้า มีพระสรีระสูง ๕๐ ศอก.
พระพุทธเจ้าคือพระสิทธัตถะ พระติสสะและพระเวสสภู มีพระวรกาย
สูง ๖๐ ศอก.

พระสิขีพุทธเจ้ามีพระสรีระสูง ๗๐ ศอก. พระพุทธเจ้าคือพระกกุสันธะ
พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ พระวรกายสูง ๔๐ ศอก ๓๐ ศอก ๒๐ ศอก

ตามลำดับ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา สูง ๑๘ ศอก.

นี้ชื่อว่า ปมาณเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์.
กุลเวมัตตะ
ที่ชื่อว่า กุลเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งตระกูล ได้แก่ พระพุทธ-
เจ้าบางพระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ บางพระองค์เกิดในตระกูลพราหมณ์ จริง

อย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ

และ พระกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์.

พระพุทธเจ้า ๒๒ พระองค์ที่เหลือมีพระทีปังกรพุทธเจ้า
เป็นต้นมีพระโคดมพุทธเจ้าเป็นที่สุด เกิดในตระกูลกษัตริย์ทั้งนั้น.

นี้ชื่อว่า กุลเวมัตตะ ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์.
ปธานเวมัตตะ
ที่ชื่อว่า ปธานเวมัตตะ ความแตกต่างกันแห่งการตั้งความเพียร
ได้แก่ พระพุทธเจ้าคือพระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมนะ พระอโนมทัสสี.

พระสุชาตะ พระสิทธัตถะและพระกกุสันธะ ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน.

พระพุทธเจ้าคือพระมังคละ พระสุเมธะ พระติสสะและพระสิขี ทรง
บำเพ็ญเพียร ๘ เดือน.

พระเรวตพุทธเจ้า ๗ เดือน.
พระโสภิตพุทธเจ้า ๔ เดือน.
พระพุทธเจ้าคือ พระปทุมะ พระอัตถทัสสีและพระวิปัสสี ครึ่งเดือน.
พระพุทธเจ้าคือ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระธัมมทัสสีและ
พระกัสสปะ ๗ วัน.

พระพุทธเจ้าคือ พระปิยทัสสี พระปุสสะ พระเวสสภู และพระ-
โกนาคมนะ ๖ เดือน.

พระพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญเพียร ๖ ปี.
นี้ชื่อว่า ปธานเวมัตตะ.

4
พรรณาวงศ์พระโคดมพุทธเจ้าที่ ๒๕
เรื่องนิทานกาลไกล
เพราะเหตุที่ถึงลำดับการพรรณนาวงศ์ ของพระ-
พุทธเจ้าของเราแล้ว ฉะนั้น บัดนี้จะพรรณาวงศ์
พระพุทธเจ้าของเรานั้น ดังต่อไปนี้.
ในนิทานกาลไกลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทรงทำอธิการในสำนักของ
พระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น มาถึงสี่อสงไขย

กำไรแสนกัป แต่ส่วนกาลภายหลังของพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะไม่มีพระพุทธ-

เจ้าพระองค์อื่น เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้. ดังนั้น พระโพธิสัตว์

ได้พยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ ก็ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม

มีทานบารมีเป็นต้น ที่พระโพธิสัตว์ ผู้รวบรวมธรรม ๘ ประการ เหล่านี้ว่า

อภินีหาร ย่อมสำเร็จได้ เพราะรวบรวมธรรม ๘ ประการ คือ

๑. มนุสัตตะ เป็นมนุษย์
๒. ลิงคสัมปัตติ เป็นเพศบุรุษ
๓. เหตุ มีอุปนิสสยสมบัติบรรลุมรรคผลได้
๔. สัตถารทัสสนะ พบพระพุทธเจ้าขณะที่ยัง
ทรงพระชนม์อยู่
๕. ปัพพัชชา บวชเป็นดาบสหรือภิกษุอยู่
๖. คุณสมบัติ ได้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕
๗. อธิการ อาจสละชีวิตแก่พระพุทธเจ้าได้
๘. ฉันทตา มีฉันทะ อุตสาหะ บำเพ็ญพุทธ-
การกธรรม.
แล้วทำอภินีหารแทบเบื้องบาทพระทีปังกรพุทธเจ้า แล้วทำอุตสาหะว่า จำเรา

จะเลือกเฟ้นพุทธการกธรรม อย่างโน้นอย่างนี้แสดงไว้ว่า ครั้งนั้น เราเมื่อ

เลือกเฟ้นก็ได้เห็นทานบารมีเป็นอันดับแรก ดังนี้ ตราบจนมาถึงอัตภาพเป็น

พระเวสสันดรและเมื่อมาถึงก็มาประสบอานิสงส์แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ทำ

อภินีหารไว้แล้ว ที่ทรงสรรเสริญไว้ว่า

พระนิยตโพธิสัตว์ ถึงพร้อมด้วยองค์ครบถ้วน
อย่างนี้ แม้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนานนับร้อย
โกฏิกัป ก็ไม่เกิดในอเวจีและในโลกันตริกนรก
ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต กาฬ-
กัญชิกาสูร แม้เข้าถึงทุคติ ก็ไม่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก
เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ ก็ไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด
โสตก็ไม่วิกลบกพร่อง ไม่เป็นคนประเภทใบ้ ไม่เป็น
สตรี ไม่เป็นคนสองเพศและไม่เป็นบัณเฑาะก์.
พระนิยตโพธิสัตว์ ไม่เป็นผู้นับเนื่องดังกล่าว
พ้นจากอนันตริยกรรม มีโคจรบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง
ไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นว่ากรรมเป็นอันทำมีผล
แม้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลาย ก็ไม่เข้าถึงอสัญญีภพ ทั้ง
ไม่มีเหตุที่ไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส เป็นผู้น้อมไป
ในเนกขัมมะ เป็นสัตบุรุษ ไม่เกาะเกี่ยวในภพใหญ่
น้อย บำเพ็ญแต่โลกัตถจริยาทั้งหลาย บำเพ็ญบารมี
ทั้งปวง.
เมื่อมาประสบอานิสงส์อย่างนี้ ก็ตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ทำบุญยิ่ง

ใหญ่ ที่ทำให้มหาปฐพีไหวเป็นต้นอย่างนี้ว่า

แผ่นปฐพีนี้ไม่มีใจ ไม่รู้สึกสุขทุกข์ แผ่นปฐพี
แม้นั้น ก็ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังทานของเรา.
ุสุดท้ายแห่งอายุ ก็จุติจากอัตภาพนั้น บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.

เรื่องนิทานกาลใกล้
เมื่อพระโพธิสัตว์กำลังอยู่ในภพดุสิต ธรรมคำว่าพุทธโกลาหลก็เกิด
ขึ้น. จริงอยู่ เกิดโกลาหลขึ้นในโลก ๓ อย่าง คือ กัปปโกลาหล พุทธโกลาหล

และจักกวัตติโกลาหล บรรดาโกลาหลทั้ง ๓ นั้น เหล่าเทวดาชั้นกามาวจร

ชื่อว่า โลกพยูหะ ทราบว่า ล่วงไปแสนปีกัปจักตั้งขึ้น ดังนี้ ปล่อยผมสยาย

ร้องไห้เอาหัตถ์ฟายน้ำตา นุ่งห่มผ้าแดง ทรงเพศแปลก ๆ อย่างยิ่ง เที่ยวไป

ในถิ่นมนุษย์ บอกกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีนับ

แต่วันนี้ไปกัปจักตั้งขึ้น โลกนี้จักพินาศไป แม้มหาสมุทรก็จักเหือดแห้ง มหา

ปฐพีแผ่นนี้และขุนเขาสิเนรุ จักมอดไหม้พินาศไป ความพินาศจักมีจนถึง

พรหมโลก ดูก่อนท่านผู้นี้นิรทุกข์ พวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา

อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงเป็นผู้ยำเกรงในท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ดังนี้

นี้ชื่อว่า กัปปโกลาหล.


5
พรรณนาวงศ์พระกัสสปพุทธเจ้าที่ ๒๔
ภายหลังต่อมาจากสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคามนะ เมื่อพระศาสนา
ของพระองค์อันตรธานแล้ว สัตว์ที่มีอายุสามหมื่นปี ก็เสื่อมลดลงโดยลำดับจน

ถึงมีอายุสิบปี แล้วเจริญอีก จนมีอายุนับไม่ถ้วน แล้วก็เสื่อมลดลงอีกโดยลำดับ

เมื่อสัตว์เกิดมามีอายุสองหมื่นปี พระศาสดาพระนามว่ากัสสปะ ผู้ปกครอง

มนุษย์เป็นอันมาก ก็อุบัติขึ้นในโลก. พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้ว

บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณี

ชื่อว่าธนวดี ผู้มีคุณไพบูลย์ ของพราหมณ์ชื่อว่าพรหมทัตตะ กรุงพาราณสี

ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ตลอดออกจากครรภ์ชนนี ณ อิสิปตนะมิคทายวัน แต่ญาติ

ทรงหลายตั้งพระนามของพระองค์โดยโคตรว่า กัสสปกุมาร พระองค์ครอง

ฆราวาสวิสัยอยู่สองพันปี. มีปราสาท ๓ หลังชื่อว่าหังสวา ยสวา และสิรินันทะ

ปรากฏมีนางบำเรอสี่หมื่นเเปดพันนาง มีนางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว

เมื่อบุตรชื่อ วิชิตเสนะ ของ นางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว
พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ เกิดความสังเวชสลดใจ เมื่อระหว่างที่พระองค์ทรง

ดำริเท่านั้น ปราสาทก็หมุนเหมือนจักรแห่งแป้นทำภาชนะดิน ลอยขึ้นสู่ท้อง

นภากาศ อันคนหลายร้อยแวดล้อมแล้ว ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท ที่เป็น

กลุ่มทำความงามอย่างยิ่งอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว ลอยไปประหนึ่งประดับท้อง

นภากาศ ประหนึ่งประกาศบุญญานุภาพ ประหนึ่งดึงดูดดวงตาดวงใจของชน

ประหนึ่งทำยอดไม้ทั้งหลายให้งามยิ่ง เอาต้นโพธิ์พฤกษ์ชื่อนิโครธต้นไทรไว้

ตรงกลางแล้วลงตั้งเหนือพื้นดิน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์ทรงยืน

ที่แผ่นดิน ทรงถือเอาผ้าธงชัยแห่งพระอรหัตที่เทวดาถวาย ทรงผนวชแล้ว

นางบำเรอของพระองค์ก็ลงจากปราสาท เดินทางไปครึ่งคาวุต พร้อมด้วย

บริวารจึงพากันนั่งกระทำให้เป็นดุจค่ายพักของกองทัพ. แต่นั้น คนที่มาด้วย

ก็พากันบวชหมด เว้นนางบำเรอ.

ได้ยินว่า พระมหาบุรุษ อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรงบำเพ็ญ
เพียร ๗ วัน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่นางสุนันทาพราหมณี

ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน เวลาเย็น ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่

คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียว ชื่อ โสมะ ถวาย จึงเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนิโครธ

ทรงลาดหญ้ากว้างยาว ๑๕ ศอก ประทับนั่งเหนือสันถัตนั้น บรรลุพระอภิสัม-

โพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ

ขยมชฺฌคา ดังนี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของ

ภิกษุหนึ่งโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ เสด็จไปทางอากาศ ลงที่อิสิปตนะ

มิคทายวัน กรุงพาราณสี อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระ

ธรรมจักร ณ อิสิปตนะมิคทายวันนั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่

สัตว์สองหมื่นโกฏิ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อมาจากสมัยของพระโกนาคมนพุทธเจ้า ก็มี
พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ผู้สูงสุดแห่งสัตว์
สองเท้า ผู้เป็นราชาแห่งธรรม ผู้ทำพระรัศมี.
เรือนแห่งสกุล มีข้าวน้ำโภชนะ เป็นอันมาก
พระองค์ก็สละเสียแล้ว ทรงให้ทานแก่ยาจกทั้งหลาย
ยังใจให้เต็มแล้ว ทำลายเครื่องผูก ดุจโคอุสภะพังคอก
ฉะนั้น ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม.
เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่น
โกฏิ.

6
พรรณนาวงศ์พระโกนาคมนพุทธเจ้าที่ ๒๓
ภายหลังต่อมาจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า กกุสันธะ เมื่อพระ-
ศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดมามีอายุสามหมื่นปี.

พระศาสดาพระนามว่า โกนาคมนะ ผู้มีไม้ดีดพิณมาเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่

ผู้อื่น ก็อุบัติขึ้นในโลก อีกนัยหนึ่ง พระศาสดาพระนามว่า โกณาคมนะ

เพราะเป็นที่มาแห่งอาภรณ์ทองเป็นต้น อุบัติขึ้นในโลก. ทอง เครื่องประดับมี

ทองเป็นต้น มาตกลง ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดทรงอุบัติพระผู้มี

พระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระนามว่า โกณาคมนะ โดยนัยแห่งนิรุกติศาสตร์

เพราะอาเทศ ก เป็น โก, อาเทศ น เป็น ณา ลบ ก เสียตัวหนึ่ง ในคำว่า โกณา

คมโน นั้น ก็ในข้อนี้อายุท่านทำให้เป็นเสมือนเสื่อมลงโดยลำดับ แต่มิใช่เสื่อม

อย่างนี้ พึงทราบว่า เจริญแล้วเสื่อมลงอีก. อย่างไร. ในกัปนี้เท่านั้น พระผู้มี-

พระภาคเจ้ากกุสันธะทรงบังเกิดในเวลาที่มนุษย์มีอายุสี่หมื่นปี แต่อายุนั้นกำลังลด

ลงจนถึงอายุสิบปี แล้วกลับเจริญขึ้นถึงอายุนับไม่ถ้วน (อสงไขย) แต่นั้นก็ลดลง

ตั้งอยู่ในเวลาที่มนุษย์มีอายุสามหมื่นปี ครั้งนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

โกนาคมนะ ทรงอุบัติขึ้นในโลก.

แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณีชื่อ อุตตรา ผู้ยอดเยี่ยม

ด้วยคุณมีรูปเป็นต้น ภริยาของ ยัญญทัตตพราหมณ์ กรุงโสภวดี ถ้วน

กำหนดทศมาส ก็เคลื่อนออกจากครรภ์ของชนนี ณ สุภวดีอุทยาน เมื่อ

พระองค์สมภพ ฝนก็ตกลงมาเป็นทองทั่วชมพูทวีป ด้วยเหตุนั้น เพราะเหตุ

ที่ทรงเป็นที่มาแห่งทอง พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามว่า กนกาคมนะ. ก็

พระนามนั้นของพระองค์แปรเปลี่ยนมาโดยลำดับ เป็นโกนาคมนะ. พระองค์

ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่สามพันปี มีปราสาท ๓ หลั่งชื่อว่า ดุสิตะ สันดุสิตะ

และสันตุฏฐะ มีนางบำเรอหนึ่งหมื่นหกพันนาง มีนางรุจิคัตตาพราหมณี

เป็นประมุข.

เมื่อบุตรชื่อ สัตถวาทะ ของนางรุจิคัตตาพราหมณีเกิด พระองค์
ทรงเห็นนิมิต ๔ ก็ขึ้นคอช้างสำคัญ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช

บุรุษสามหมื่นก็บวชตาม พระองค์อันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อม ก็บำเพ็ญ

เพียร ๖ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี ก็เสวยข้าวมธุปายาส ที่อัคคิโสณพราหมณ-

กุมารี ธิดาของอัคคิโสณพราหมณ์ถวาย พักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน

เวลาเย็น รับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ ชฏาตินทุกะถวาย จึง

เข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอุทุมพร คือไม้มะเดื่อ ซึ่งมีขนาดที่กล่าวแล้วใน

ต้นปุณฑรีกะ ที่พรั่งพร้อมด้วยความเจริญแห่งผล ทางด้านทักษิณ ทรงลาด

สันถัตหญ้ากว้าง ๒๐ ศอก นั่งขัดสมาธิ กำจัดกองกำลังของมาร ทรงได้

ทศพลญาณ ทรงเปล่งอุทานว่าอเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา

ดังนี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของภิกษุสามหมื่นที่

บวชกับพระองค์ เสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่อิสิปตนะมิคทายวัน ใกล้

กรุงสุทัสสนนคร อยู่ท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น ทรงประกาศธรรมจักร ครั้งนั้น

อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ.

ต่อมาอีก ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตู
สุนทรนคร ทรงยังสัตว์สองหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม. นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่

๒ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดเทวดาทั้งหลายที่มา

ประชุมกันในหมื่นจักรวาล มีนางอุตตราพระชนนีของพระองค์เป็นประธาน

อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์หมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อมาจากสมัยของพระกกุสันธพุทธเจ้า ก็มีพระ
ชินสัมพุทธเจ้า พระนามว่า โกนาคมนะ สูงสุดแห่ง
สัตว์สองเท้า เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจในนรชน.
ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ก้าวล่วงทางกันดาร
ทรงลอยมลทินทั้งปวง ทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูง
สุด.
เมื่อพระโกนาคมนะผู้นำ ทรงประกาศพระ-
ธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ได้มีแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ.
และเมื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ย่ำยีดำติเตียนของ
ฝ่ายปรปักษ์ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์สองหมื่น
โกฏิ.
ต่อนั้น พระชินสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงฤทธิ์ต่างๆ
เสด็จไปยังเทวโลก ประทับอยู่เหนือบัณฑุกัมพลศิลา-
อาสน์ ณ เทวโลกนั้น.
พระมุนีพระองค์นั้น ประทับจำพรรษาแสดง
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่
เทวดาหมื่นโกฏิ.

7
พรรณนาวงศ์พระกกุสันธพุทธเจ้าที่ ๒๒
เมื่อพระเวสสภู สยัมภูพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อกัปนั้นล่วงไป
ดวงพระทินกรคือพระชินพุทธเจ้าก็ไม่อุบัติขึ้นถึง ๒๙ กัป ส่วนในภัทรกัปนี้

บังเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์แล้วคอ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ

พระกัสสปะ และ พระพุทธเจ้าของเรา. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเมตไตรย

จักอุบัติในอนาคตกาล ด้วยประการดังกล่าวมานี้ กัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงทรงสรรเสริญว่าเป็นภัทรกัป เพราะประดับด้วยการเกิดพระพุทธเจ้า ๕

พระองค์. ใน ๕ พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ทรง

บำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้ว บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิ

ในครรภ์ของพราหมณีชื่อว่าวิสาขา เอกภริยาของปุโรหิตชื่อว่าอัคคิทัตตะ ผู้อนุ

ศาสน์อรรถธรรมถวายพระเจ้าเขมังกร กรุงเขมวดี ก็เมื่อใดกษัตริย์ทั้งหลาย

สักการะเคารพนับถือพราหมณ์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงบังเกิดใน

สกุลพราหมณ์.

ก็เมื่อใดพราหมณ์ทั้งหลาย สักการะเคารพนับถือบูชากษัตริย์ทั้งหลาย
พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงบังเกิดในสกุลกษัตริย์. ได้ยินว่า ในครั้งนั้นพราหมณ์

ทั้งหลายอันกษัตริย์ทั้งหลายสักการะเคารพ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ชื่อว่า

กกุสันธะผู้มั่นอยู่ในสัจจะ เมื่อจะยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือหวั่นไหวจึงอุบัติใน

สกุลพราหมณ์ที่ไม่อากูล แต่อากูลด้วยเหตุเกิดสิริสมบัติ ก็บังเกิดปาฏิหาริย์ดัง

กล่าวมาแล้วในหนหลัง. จากนั้น ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากครรภ์มารดา

ณ เขมวดีอุทยาน เหมือนเปลวไฟแลบออกจากเถาวัลย์ทอง. พระโพธิสัตว์นั้น

ครองฆราวาสวิสัยอยู่สี่พันปี มีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่ากามะ กามวัณณะ และ

กามสุทธิ ปรากฏมีสตรีบริจาริกาสามหมื่นนาง มีนางโรจินีพราหมณี๑ เป็น

ประมุข.

เมื่อกุมารชื่อว่าอุตตระ ผู้ยอดเยี่ยมของโรจินีพราหมณ์เกิดแล้ว พระ-
โพธิสัตว์นั้นก็เห็นนิมิต ๔ แล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถม้าที่จัดเตรียมไว้

แล้ว บวช, บุรุษสี่หมื่นก็บวชตามพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์นั้นอัน

บรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว บำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี

บริโภคข้าวมธุปายาสที่ธิดา วชิรินธพราหมณ์ ณ สุจิรินธนิคม ถวาย พักผ่อน

กลางวัน ณ ป่าตะเคียน เวลาเย็นรับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียว

ชื่อ สุภัททะ ถวาย เข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ สิริสะ คือต้นซึก ซึ่งมีขนาดเท่า

ต้นแคฝอย มีกลิ่นหอมเมื่อลมโชย ลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๔ ศอก นั่งขัด

สมาธิ บรรลุพระสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ

ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้ ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ทรงเห็นว่าภิกษุสี่หมื่น

ที่บวชกับพระองค์เป็นผู้สามารถแทงตลอดสัจจะ วันเดียวเท่านั้น ก็เสด็จเข้า

ไปยัง อิสิปตนะมิคทายวัน ซึ่งมีอยู่แล้วใกล้ๆ มกิลนคร พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับอยู่ท่ามกลางบรรพชิตเหล่านั้น ทรงประกาศพระธรรมจักร. ครั้งนั้น

ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์สี่หมื่นโกฏิ.

ต่อมาอีก ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นมหาสาละ ใกล้ประตู
กัณณกุชชนคร ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์สามหมื่นโกฏิ. นั้นเป็น

อภิสมัยครั้งที่ ๒. ครั้งยักษ์ชื่อ นรเทพ ที่เรียกกันว่าเทพแห่งนรชน ณ เทวาลัย

แห่งหนึ่ง ไม่ไกลกรุงเขมวดี ปรากฏตัวเป็นมนุษย์ ยืนอยู่ใกล้สระ ๆ หนึ่ง ซึ่ง

มีน้ำเย็นประดับด้วยบัวต้นบัวสายและอุบล มีน้ำเย็นรสอร่อยอย่างยิ่ง มีกลิ่น

หอมรื่นรมย์สำหรับชนทั้งปวง อยู่กลางทางกันดาร ล่อลวงสัตว์ทั้งหลายโดยเป็น

๑ บาลีเป็น โรปินี.
คนเก็บบัวต้นบัวสายบัวขาวเป็นต้นแล้วกินมนุษย์เสีย. เมื่อทางนั้น ตัดขาด

ไม่มีคนไปถึง. ยักษ์นรเทพก็เข้าไปดงใหญ่ กินสัตว์ที่ชุมนุมกันในที่นั้น ๆ เสีย

ทางนั้น โลกรู้จักกันว่า เป็นทางมหากันดาร. เขาว่า หมู่มหาชนยืนชุมนุม

กัน ใกล้ประตูสองข้างทาง เพื่อช่วยข้ามทางกันดาร. ครั้งนั้น พระศาสดา

กกุสันธะผู้ปราศจากกิเลสเครื่องผูกในภพ. วันหนึ่ง เวลาใกล้รุ่ง ทรงออกจาก

มหากรุณาสมาบัติตรวจดูโลก ก็ทรงพบนรเทพยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่และกลุ่มชนนั้น

เข้าไปในข่ายพระญาณ. ครั้นทรงทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เสด็จไปทาง

อากาศ ทั้งที่กลุ่มชนนั้นแลเห็นอยู่นั่นเอง ก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์หลายอย่าง

เสด็จลงที่ภพของนรเทพยักษ์ นั้น ประทับนั่งเหนือบัลลังก์อันเป็นมงคล.

ครั้งนั้น ยักษ์ผู้กินคนตนนั้น เห็นพระทินกรผู้มุนี ทรงเปล่งพระ-
ฉัพพรรณรังสี ดังดวงทินกรอันสายฟ้าแลบล้อม กำลังเสด็จมาทางอากาศ ก็มี

ใจเลื่อมใสว่า พระทศพลเสด็จมาที่นี้เพื่อทรงอนุเคราะห์เรา จึงไปป่าหิมพานต์

ที่มีหมู่มฤคมาก พร้อมด้วยบริวารยักษ์ รวบรวมดอกไม้ทั้งที่เกิดในน้ำทั้งที่

เกิดบนบกอันมีสีและกลิ่นต่าง ๆ เลือกเอาเฉพาะที่มีกลิ่นหอมจรุงน่ารื่นรมย์ใจ

อย่างยิ่งมาบูชาพระกกุสันธพุทธเจ้าผู้นำโลกผู้ปราศจากโทษ ซึ่งประทับนั่งเหนือ

บัลลังก์ของตน ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น แล้วร้องเพลง

ประสานเสียงสดุดี ทำอัญชลีไว้เหนือเศียร ยืนนมัสการ. แต่นั้น มนุษย์ทั้งหลาย

เห็นปาฏิหาริย์นั้น ก็มีจิตใจเลื่อมใส มาประชุมกัน พากันยืนนอบน้อมล้อม

พระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ ผู้ไม่มีปฏิสนธิ

ทรงยังนรเทพยักษ์ ผู้อันมนุษย์และเทวดาบูชายิ่งให้อาจหาญ ด้วยทรงแสดง

ความเกี่ยวเนื่องของกรรมและผลของกรรม ให้หวาดสะดุ้งด้วยกถาว่าด้วยนรก

แล้วจึงตรัสจตุสัจกถา. ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์หาประมาณมิได้.

นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อมาจากสมัยของพระเวสสภูพุทธเจ้า ก็มีพระ-
สัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธะ ผู้สูงสุดแห่งสัตว์
สองเท้า ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ ผู้อันใคร ๆ
เฝ้าได้ยาก.
ทรงเพิกถอนภพทั้งปวง ถึงฝั่งบำเพ็ญบารมีแล้ว
ทรงทำลายกรงภพ เหมือนราชสีห์ทำลายกรง ทรง
บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด.
เมื่อพระกกุสันธพุทธเจ้าผู้นำโลก ทรงประกาศ
พระธรรมจักร ธรรมาภิสัยได้มีแก่สัตว์สี่หมื่นโกฏิ.
พระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ กลางพื้นนภากาศ
ทรงยังเทวดาและมนุษย์สามหมื่น
ในการประกาศสัจจะ ๔ แก่นรเทพยักษ์นั้น
ธรรมาภิสมัย ได้มีแก่สัตว์นับจำนวนไม่ถ้วน.

8
พรรณนาวงศ์พระเวสสภูพุทธเจ้าที่ ๒๑
ต่อจากสมัยของพระสุขีสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระศาสนาของพระ-
องค์อันตรธานแล้ว มนุษย์ที่มีอายุเจ็ดหมื่นปีก็ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุสิบปี

แล้วเพิ่มขึ้นอีกจนมีอายุนับไม่ได้ แล้วก็ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุหกหมื่นปี.

ครั้งนั้นพระศาสดาพระนามว่า เวสสภู เทพเจ้าผู้พิชิต ผู้ครอบงำโลกทั้งปวง

ผู้เกิดเอง ทรงอุบัติในโลก พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย บังเกิดใน

สวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางยสวดี

ผู้มีศีล อัครมเหสีของพระเจ้าสุปปตีตะ ผู้เป็นที่ยำเกรง กรุงอโนมะ ถ้วน

กำหนดทศมาสพระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ อโนมราชอุทยาน

เมื่อสมภพ ก็ยังชนให้ยินดี ทรงบันลือดังเสียงวัวผู้ เพราะฉะนั้นในวันเฉลิม

พระนามของพระองค์ พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามว่า เวสสภู เพราะ

เหตุที่ร้องดังเสียงวัวผู้ พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หกพันปี มีปราสาท

๓ หลังชื่อ ๑สุจิ สุรุจิและรติวัฑฒนะ ปรากฏพระสนมกำนัลสามหมื่นนาง มี

พระนางสุจิตตาเทวี เป็นประมุข.

เมื่อพระสุปปพุทธกุมาร ของ พระนางสุจิตตาเทวี สมภพ พระ-
องค์ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จประพาสพระราชอุทยานด้วยพระวอทอง ทรงรับผ้า

กาสายะที่เทวดาถวาย ทรงผนวช. บุรุษเจ็ดหมื่นบวชตามเสด็จ ลำดับนั้น

พระองค์อันบรรพชิตเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน ใน

วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่พระพี่เลี้ยงชื่อว่าสิริวัฒนา ผู้ปรากฏตัว

ณ สุจิตตนิคม ถวาย ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็น ทรงรับหญ้า

๘ กำที่พระยานาคชื่อ นรินทะ ถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นสาละ

๑. บาลีเป็นรุจิ สุรติและวัฑฒกะ.

ด้านทิศทักษิณ สาละต้นนั้นมีขนาดเท่าขนาดต้นปาฏลีแคฝอยนั้นแล. ดอกผล

สิริและสมบัติ ก็พึงทราบอย่างนั้นเหมือนกัน. พระองค์เสด็จเข้าไปยังโคนต้น

สาละ ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๔๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ ทรงได้อนา-

วรณญาณ ที่ปราศจากนิวรณ์ แต่ห้ามกันความเมาในกามทุกอย่าง ทรงเปล่ง

พระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้ ทรงยับยั้ง

ณ โพธิพฤกษ์นั้นนั่นแล ๗ สัปดาห์ ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของพระโสณกุมาร

และพระอุตตรกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์ จึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่

อรุณราชอุทยาน ใกล้ กรุงอนูปมะ ทรงให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานไป

อัญเชิญพระกุมารมาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางพระกุมารทั้ง

สองพระองค์นั้นทั้งบริวาร. ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

ต่อมาอีก พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จจาริกไปในชนบท ทรง
แสดงธรรมโปรดในถิ่นนั้น ๆ ธรรมาภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์เจ็ดหมื่นโกฏิ. นั้น

เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทำลายข่ายคือทิฏฐิ [เดียรถีย์]

ล้มธงคือมานะของเดียรถีย์ กำจัดความเมาด้วยมานะ ทรงยกธงคือธรรมขึ้น

ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ในมนุษยบริษัทกว้างเก้าสิบโยชน์ ในเทวบริษัทประ-

มาณมิได้ ณ กรุงอนูปมะนั่นเอง ยังเทวดาและมนุษย์ให้เลื่อมใสแล้ว ทรงยัง

สัตว์หกหมื่นโกฏิให้อิ่มด้วยอมตธรรม นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนั้น

จึงตรัสว่า

ในมัณฑกัปนั้นนั่นเอง พระผู้นำโลกพระนามว่า
เวสสภู ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบเคียง ก็ทรงอุบัติ
ในโลก.
ทรงทราบว่าโลกสามถูกราคะไหม้แล้ว เป็นถิ่น
ของตัณหาทั้งหลาย พระองค์ก็ทรงตัดเครื่องพันธนา.
การดุจพระยาช้าง ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอัน
สูงสุด.
พระเวสสภูพุทธเจ้าผู้นำโลก ทรงประกาศพระ-
ธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
เมื่อพระโลกเชษฐ์ผู้องอาจในนรชน ทรงหลีก
จาริกไปในแว่นแคว้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่สัตว์
เจ็ดหมื่นโกฏิ.
พระองค์เมื่อทรงบรรเทาทิฏฐิอย่างใหญ่หลวง
ของเดียรถีย์ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ มนุษย์และเทวดา
ในหมื่นโลกธาตุ ในโลกทั้งเทวโลกก็มาประชุมกัน.
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเห็นมหัศจรรย์ไม่เคยมี
น่าขนชูชัน ก็ตรัสรู้ธรรมถึงหกหมื่นโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิตฺตํ ความว่า สิ้นทั้งสามโลกนี้ ถูก
ไฟไหม้แล้ว. บทว่า ราคคฺคิ แปลว่า อันราคะ. บทว่า ตณฺหานํ วิชิตํ ตทา

ความว่า ทรงทราบว่า สามโลก เป็นถิ่นแคว้น สถานที่ตกอยู่ในอำนาจของ

ตัณหาทั้งหลาย. บทว่า นาโคว พนฺธนํ เฉตฺวา ความว่า ทรงตัดเครื่อง

พันธนาการดุจเถาวัลย์เน่า ประดุจช้าง ทรงบรรลุถึงพระสัมโพธิญาณ. บทว่า

ทสสหสฺสี ก็คือ ทสสหสฺสิยํ. บทว่า สเทวเก ได้แก่ ในโลกทั้งเทวโลก.

บทว่า พุชฺฌเร แปลว่า ตรัสรู้แล้ว.

อนึ่งเล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ
วันมาฆบูรณมี ท่ามกลางพระอรหันต์แปดหมื่นที่บวชในสมาคมของ พระ

โสณะ และ พระอุตตระ คู่พระอัครสาวก นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.

ครั้งภิกษุนับจำนวนได้เจ็ดหมื่น ซึ่งบวชกับพระเวสสภูผู้ครอบงำโลก
ทั้งปวงพากันหลีกไป สมัยที่พระเวสสภูจะหลีกออกจากคณะไป ภิกษุเหล่านั้น

สดับข่าวการประกาศพระธรรมจักรของพระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงพากัน

มายังนครโสเรยยะ ก็ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง

ธรรมโปรดภิกษุเหล่านั้น ทรงให้ภิกษุเหล่านั้นบวชด้วยเอหิภิกษุบรรพชาทั้ง

หมด แล้วทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในบริษัทที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นั้นเป็น

สันนิบาตครั้งที่ ๒.

อนึ่ง ครั้งพระราชบุตรพระนามว่าอุปสันตะ ทรงขึ้นครองราชย์ใน
กรุง นาริวาหนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปนครนั้น เพื่ออนุเคราะห์พระ-

ราชบุตรนั้น. แม้พระราชบุตรนั้นทราบข่าวการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พร้อมทั้งบริวารจึงทรงออกไปรับเสด็จ นิมนต์มาถวายมหาทาน ทรงสดับธรรม

ของพระองค์ก็มีพระหฤทัยเลื่อมใสแล้วทรงผนวช บุรุษหกหมื่นโกฏิก็บวชตาม

เสด็จภิกษุเหล่านั้น บรรลุพระอรหัตพร้อมกับพระราชบุตรนั้น พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเวสสภูนั้น อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ก็ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง

นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า

พระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ทรง
มีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพผู้ไร้มลทิน มีจิต
สงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมภิกษุสาวกแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้ง
ที่ ๑ ประชุมภิกษุสาวกเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ประชุมภิกษุสาวกหกหมื่น ผู้กลัวแต่ภัยมีชรา
เป็นต้น โอรสของพระเวสสภูพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่ง
ใหญ่ เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

9
พรรณนาวงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ ๒๐
ต่อมาภายหลังสมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เมื่อกัปนั้นอันตรธาน
ไปแล้ว ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติขึ้นในโลก ๕๙ กัป

มีแต่แสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า เอกราชของกิเลสมารและเทวปุตตมาร

ก็ปราศจากเสี้ยนหนาม ในสามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เกิดขึ้นแล้วในโลกสองพระองค์คือ พระสิขี ผู้ดุจไฟอันสุมด้วยไม้แก่นแห้งสนิท

ราดด้วยเนยใสมากๆ ไม่มีควัน และ พระเวสสภู. บรรดาพระพุทธเจ้าสอง

พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วบังเกิดใน

สวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้น ก็ทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของ พระนาง

ปภาวดีเทวี ผู้มีพระรัศมีงามดังรูปทองสีแดง อัครมเหสีของ พระเจ้าอรุณ

ผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง กรุงอรุณวดี ซึ่งมีแต่ทำกุศล ล่วง ๑๐ เดือน ก็ประสูติจาก

พระครรภ์พระชนนี ณ นิสภะราชอุทยาน ส่วนโหรผู้ทำนายนิมิต เมื่อเฉลิม

พระนามของพระองค์ ก็เฉลิมพระนามว่า สิขี เพราะพระยอดกรอบพระพักตร์

พุ่งสูงขึ้นดุจยอดพระอุณหิส พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เจ็ดพันปี ทรง

มีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า๑ สุจันทกสิริ คิริยสะ และ นาริวสภะ ปรากฏ

มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสี่พัน มีพระนางสัพพกามาเทวี เป็นประมุข.

เมื่อพระโอรสพระนามว่า อตุละ ผู้ไม่มีผู้ชั่ง ผู้เทียบได้ด้วยหมู่แห่ง
พระคุณของพระนางสัพพกามาเทวีทรงสมภพ พระมหาบุรุษนั้น ก็ทรงเห็นนิมิต

๔ ขึ้นทรงข้างต้น เสด็จออกมหาภิเนษกรณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช บุรุษ

หนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพัน พากันบวชตามเสด็จ. พระองค์อันบรรพชิตเหล่า

นั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี ทรงละการ

คลุกคลีด้วยหมู่ เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดาปิยเศรษฐี สุทัสสนนิคม ถวาย

๑. บาลีว่า สุวัฑฒกะ, คิริ, นารีวาหนะ

แล้วยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียนหนุ่ม ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ที่ดาบสชื่อ

อโนมทัสสีถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น บุณฑรีกะ คือมะม่วงป่า.

เขาว่า แม้บุณฑรีกโพธิพฤกษ์นั้น ก็มีขนาดเท่าต้นแคฝอย วันนั้นนั่นเอง

มะม่วงป่าต้นนั้น สูงชะลูดลำต้นขนาด ๕๐ ศอก แม้กิ่งก็ขนาด ๕๐ ศอก

เหมือนกัน ดารดาษด้วยดอกหอมเป็นทิพย์ มิใช่ดารดาษด้วยดอกอย่างเดียว

เท่านั้น ยังดารดาษแม้ด้วยผลทั้งหลาย. มะม่วงต้นนั้น แถบหนึ่งมีผลอ่อน แถบ

หนึ่ง มีผลปานกลาง แถบหนึ่ง มีผลห่าม แถบหนึ่ง มีผลมีรสดี พรั่งพร้อม

ด้วยสีกลิ่นและรส เหมือนทิพยโอชาที่เทวดาใส่ไว้ ห้อยย้อยแด่แถบนั้นๆ ต้น

ไม้ดอกก็ประดับด้วยดอก ต้นไม้ผล ก็ประดับด้วยผล ในหมื่นจักรวาลเหมือน

อย่างมะม่วงต้นนั้น.

พระองค์ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๒๔ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ
อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ครั้นประทับอย่างนั้นแล้ว ก็ทรงกำจัดกอง

กำลังมารพร้อมทั้งตัวมารซึ่งกว้างถึง ๓๖ โยชน์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ

ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา

ดังนี้ ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์นั่นแล ๗ สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาของท้าว

มหาพรหม ทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของภิกษุแสนเจ็ดหมื่นที่บวชกับพระองค์

จึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่ มิคาจิระราชอุทยาน ใกล้ กรุงอรุณวดีราช-

ธานี ซึ่งมีรั้วกั้นชนิดต่างๆ อันหมู่มุนีเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศ

พระธรรมจักรท่ามกลางหมู่มุนีเหล่านั้น ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่

ภิกษุแสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ก็มีพระชิน
สัมพุทธเจ้า พระนามว่า สิขี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเทียบ.
พระองค์ทรงย่ำยีกองทัพมาร ทรงบรรลุพระสัม-
โพธิญาณสุงสุด ทรงประกาศพระธรรมจักรอนุเคราะห์
สัตว์ทั้งหลาย.
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า จอมมุนี ทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสน
โกฏิ.
ต่อมาอีก พระสิขีพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระราชโอรสสอง
พระองค์คือ พระอภิภูราชโอรสและ พระสัมภวะราชโอรส พร้อมด้วย

บริวาร ใกล้กรุงอรุณวดีราชธานี ทรงยังสัตว์เก้าหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม.

นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดแห่งคณะ ผู้
สูงสุดในนรชน ทรงแสดงธรรมอีก อภิสมัยครั้งที่ ๒
ก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
ส่วนครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์เพื่อหักรานความ
เมาและมานะของเดียรถีย์ และเพื่อเปลื้องเครื่องผูกของชนทั้งปวง ใกล้ประตู

สุริยวดีนคร ทรงแสดงธรรมโปรด อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์แปด

หมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
ในโลก ทั้งเทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์
แปดหมื่นโกฏิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งท่ามกลางพระอรหันต์หนึ่งแสนที่บวช
พร้อมกับพระราชโอรส คือ พระอภิภู และ พระสัมภวะ ทรงยกปาติโมกข์

ขึ้นแสดง. นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๑ ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแปดหมื่น

ที่บวชในสมาคมพระญาติ กรุงอรุณวดีทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง. นั้นเป็น

สันนิบาตครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลาง

ภิกษุเจ็ดหมื่นที่บวชในสมัยทรงฝึกพระยาช้างชื่อ ธนบาลกะในธนัศชัยนคร.

นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

แม้พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ทรงมี
สันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มี
จิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมภิกษุหนึ่งแสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓
ประชุมภิกษุแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒
ประชุมภิกษุเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓
ภิกษุสันนิบาต อันโลกธรรมไม่กำซาบแล้ว เหมือน
ปทุมเกิดเติบโตในน้ำ น้ำก็ไม่กำขาบ ฉะนั้น.

10
พรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๙
ภายหลังต่อมาจากสมัยของ พระปุสสพุทธเจ้า กัปนั้นพร้อมทั้ง
อันตรกัปล่วงไป ในเก้าสิบเอ็ดกัปนัปแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่า

วิปัสสี ผู้เห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง ทรงทราบกัปทั้งปวง ทรงมีความดำริยินดี

แต่ประโยชน์ของสัตว์อื่น อุบัติขึ้นในโลก. พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย

และบังเกิดในภพสวรรค์ชั้นดุสิตอันเป็นที่รุ่งโรจน์ด้วยแสงซ่านแห่งรัตนะมณี

เป็นอันมาก จุติจากนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนาง

พันธุมดี อัครมเหสีของ พระเจ้าพันธุมะ ผู้มีพระญาติมาก กรุงพันธุมดี

ถ้วนกำหนดทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ เขมมิค-

ทายวัน เหมือนดวงจันทร์เพ็ญออกจากกลีบเมฆสีเขียวคราม ในวันรับพระ-

นามของพระองค์โหรผู้ทำนายลักษณะ และพระประยูรญาติทั้งหลาย แลเห็น

พระองค์หมดจด เพราะเว้นจากความมืดที่เกิดจากกระพริบตา ในระหว่างๆ ทั้ง

กลางวันทั้งกลางคืน จึงเฉลิมพระนามว่า วิปัสสี เพราะเห็นได้ด้วยตาที่เปิดแล้ว

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า หรือพระนามว่า วิปัสสี เพราะพึงวิจัยค้นหาย่อมเห็น

พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี ทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า นันทะ

สุนันทะและสิริมา มีพระสนมกำนัลแสนสองหมื่นนาง มีพระนางสุทัสสนาเทวี

เป็นประมุข. พระนางสุทัสสนา เรียกกันว่า พระนางสุตนู ก็มี.

ล่วงไปแปดพันปี เมื่อพระโอรสของพระนางสุตนูเทวี พระนามว่า
ทรงสมภพ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ จึงเสด็จออกมหาภิเนษ-

กรมณ์ ด้วยรถเทียมม้า ทรงผนวช บุรุษแปดหมื่นสี่พันคน ออกบวชตาม

เสด็จ พระมหาบุรุษนั้นอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘

เดือน ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดาสุทัสสนเศรษฐี ถวาย

ทรงพักกลางวัน ณ สาลวัน ที่ประดับด้วยดอกไม้ ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่คน

เฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ สุชาตะ ถวาย ทรงเห็นโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ปาฏลี คือต้น

แคฝอย ที่ออกดอก จึงเสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์นั้น ทางทิศทักษิณ วันนั้น

ลำต้นอันเกลากกลมของต้นปาฏลีนั้น ชะลูดขึ้นไป ๕๐ ศอก กิ่ง ๕๐ ศอก สูง

๑๐๐ ศอก วันนั้นนั่นเอง ต้นปาฏลีนั้น ออกดอกดารดาษไปหมดทั้งต้น เริ่มแต่

โคนต้นดอกทั้งหลายมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เหมือนผูกไว้เป็นช่อ มิใช่ปาฏลีต้นนี้

ต้นเดียวเท่านั้น ที่ออกดอกในเวลานั้น ต้นปาฏลีทั้งหมดในหมื่นจักรวาล ก็

ออกดอกด้วย มิใช่ต้นปาฏลีอย่างเดียวเท่านั้น แม้ไม้ต้นไม้กอและไม้เถาทั้ง

หลายในหมื่นจักรวาลก็ออกดอกบาน. แม้มหาสมุทร ก็ดารดาษไปด้วยปทุม

บัวสาย อุบล และโกมุท ๕ สี มีน้ำเย็นอร่อย ระหว่างหมื่นจักรวาลทั้งหมด

ก็เกลื่อนกล่นไปด้วยธงและมาลัย พื้นแผ่นธรณีอักตกแต่งด้วยดอกไม้กลิ่นหอม

นานาชนิด ก็เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย มืดมัวไปด้วยจุรณแห่งธูป พระองค์

เสด็จเข้าไปยังต้นปาฏลีนั้น ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ทรงอธิษฐาน

ความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ประทับนั่ง ทำปฏิญาณว่า ยังไม่เป็นพระพุทธ-

เจ้าเพียงใด ก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้เพียงนั้น ครั้นประทับนั่งอย่างนี้แล้ว ทรง

กำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมาร ทรงทำมรรคญาณ ๔ โดยลำดับมรรค

ผลญาณ ๔ ในลำดับต่อจากมรรค ปฏิสัมภิทา ๔ จตุโยนิปริจเฉทกญาณ

ญาณเครื่องกำหนดรู้คติ ๕ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ และพระพุทธ

คุณทั้งสิ้นไว้ในพระหัตถ์ ทรงมีความดำริบริบูรณ์ ประทับนั่งเหนือโพธิบัลลังก์

นั่นเอง ทรงเปล่งพระอุทานอย่างนี้ว่า

อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
อโยฆนหตสฺเสว ชลโต ชาตเวทโส
อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส ยถา น ญายเต คติ.
ใครๆ ย่อมไม่รู้คติ ความไปของดวงไฟ ที่ลุก
โพลง ถูกฟาดด้วยค้อนเหล็ก แล้วสงบลงโดยลำดับ
ฉันใด.
เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ กามพนฺโธฆตารินํ
ปญฺญาเปตุํ คตี นตฺถิ ปตฺตานํ อจลํ สุขํ.
ไม่มีใครจะล่วงรู้คติความไป ของท่านผู้หลุดพ้น
โดยชอบ ผู้ข้ามพันธะและโอฆะ คือกาม ผู้ถึงสุขอัน
ไม่หวั่นไหวได้ก็ฉันนั้น.
ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นเอง ทรงรับอาราธนาของท้าว

มหาพรหม ทรงตรวจดูอุปนิสสัยสมบัติ ของ พระขัณฑกุมาร กนิษฐภาดา

ต่างพระมารดาของพระองค์ และ ติสสกุมาร บุตรปุโรหิต เสด็จไปทาง

อากาศ ลงที่ เขมมิคทายวัน ทรงใช้พนักงานเฝ้าอุทยานไปเรียกท่านทั้งสอง

นั้นมาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริวารเหล่านั้น ครั้งนั้น

ธรรมาภิสมัยได้แก่เทวดาทั้งหลาย ประมาณมิได้. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า พระสัมพุทธ-
เจ้าพระนามว่า วิปัสสี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ผู้มี
จักษุ ก็อุบัติขึ้นในโลก.
ทรงทำลาย อวิชชาทั้งหมด๑ บรรลุพระโพธิ-
ญาณอันสูงสุด เสด็จไปยังกรุงพันธุมดี เพื่อประกาศ
พระธรรมจักร.
๑. บาลีว่า อวิชฺชณฺฑํ กะเปาะไข่คืออวิชชา

พระผู้นำ ครั้นทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว
ยังกุมารทั้งสองให้ตรัสรู้แล้ว อภิสมัยครั้งที่ ๑ ไม่จำ
ต้องกล่าวจำนวนผู้บรรลุ.

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9