แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - โลกส่วนตัว

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11
2
รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’ (Dead Wood)

ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)

ใน สังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น ‘คนไร้ค่า’ เป็นยิ่งกว่า ‘ไม้แก่ดัดยาก’ คือมีสถานะคล้าย ‘แตงเถาตาย’ หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า
.
บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน ช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ ‘กลายพันธุ์’ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า ‘คนไร้ค่า’ และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง
.
.
ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า
.
บุคคลผู้เป็น ‘คนไร้ค่า’ มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:
.
1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก ‘นิยมวัตถุ’ ซึ่งต่างจาก ‘วัตถุนิยม’ (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ ‘จิตนิยม’ (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น
.
2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ‘ชาล้นแก้ว’ บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ‘ยืมจมูกคนอื่นหายใจ’ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ
.
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์
.
4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ ‘ผักชีโรยหน้า’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ‘ไถ’ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด
.
5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ‘ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน’ หรือ ‘หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ’ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย
.
6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี ‘เลีย’ หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก ‘พายเรือให้โจรนั่ง’ แล้ว ยังยอมให้ ‘โจรพายเรือให้ตนนั่ง’ (ประสบความสำเร็จโดย ‘โจร’ สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่
.
7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ‘ธุระไม่ใช่’ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ‘ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม’ แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง ‘อุเบกขา’ โดยถือคติ ‘วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด’ ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ หรือ ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
.
8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ ‘เสพติด’ การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่ อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
.
.รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’
.
ใน แง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก ‘คนไร้ค่า’ ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ‘ยัยแจ๋ว’ ‘สาวฉันทนา’ ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ‘ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก’ (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้จึงไม่ใช่ ‘อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ’ แต่เป็นพวก ‘อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า’ เสียมากกว่า
.
ประวัติ ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ ‘อับอายจนกลายเป็นโทสะ’ หรือ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ ‘จับได้ไล่ทัน’ หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ ‘พวกมากลากไป’ มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก ‘โดดเดี่ยว’
..
กลายร่างเป็น ‘คนชั่ว’
.
เมื่อ พิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อม เสียต่อตนเองและคนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ ‘คนไร้ค่า’ ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ‘ร่วมขบวนการโกงกิน’
.
โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ‘ซื้อตำแหน่ง’ คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ‘ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน’ จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ ‘รับใช้นายจนพอแรง’ แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง ‘เลีย’ นายแบบ ‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความ เป็นมนุษย์ของตนเองลง
.
ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัยทำการ ค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น ‘อาเหลียง’ นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก
.
อาจกล่าวได้ว่าคหบดี ที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น ‘อาเหลียง’ โกงมา) ‘เก่งบวกเฮง’ ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด
.
คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด
..
ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย
.
คน ที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง ‘คนไร้ค่า’ และ ‘คนชั่ว’ ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ
.
1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น ‘Dead Wood’ เช่นนี้
.
2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน
.
3. ‘ยัยแจ๋ว’ ‘ยัยเอี้ยง’ ‘ยัยเอื้อง’ ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี
.
4. ลูกน้องก็พึงสังเกต ‘เจ้านาย’ ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง
.
5. ‘สามล้อ’ หรือ ‘แท็กซี่’ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น
.
.
ช่วย กันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น ‘คนไร้ค่า’ เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ
ที่มา :
เจ้าของบทความ : ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org

3
บทความ (Blog) / รถเมล์ไทยโดนใจคนไทย
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 01:15:06 am »
เรื่องราวของ 'รถเมล์ไทย' ขำดี เอามาเล่าสู่กันฟังนะ


ปอ. 10 (พระประแดง-รังสิต)

รถเมล์ สายที่ 'หยิ่ง' ที่สุดในประเทศไทย
คาดว่าคนขับทั้งหลายคงเป็นคนรวยแอบมาขับรถเล่นแก้เซ็งไปวันๆ
ไม่ง้อผู้โดยสาร ยิ่งรถตัวเองโล่งเท่าไรยิ่งชอบ ไม่จอดรับผู้โดยสาร
ต่อให้โบกจนมือหัก
และมีวิธีป้องกันผู้โดยสารจะขึ้น โดยการไปจอดป้ายไกลๆ
เพื่อให้ผู้โดยสารลงแล้วซิ่งทันที
ต่อให้คนที่จะขึ้นวิ่งไปถึงประตูก็แล้วเหอะ
แถมเป็นรถหายากนานๆ มาสักคันนึง ถ้าพลาดแล้วละก็
ไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกินรอคันต่อไปได้เลย

สาย 8 (ปากคลองตลาด-แฮปปี้แลนด์)

รถเมล์สายที่ซิ่งเร็วที่สุดในประเทศไทย
คาดว่าคนขับส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักแข่งรถมือสมัครเล่นที่ตกงาน
หรือสอบตกจากการเทิร์นโพร เลยหันเหชีวิตมาขับรถเมล์แทน
แต่มองหน้าแล้วนึกว่าเพิ่งหนีออกมาจากคุก
ขอแนะนำสำหรับผู้โดยสารหน้าใหม่ว่าอย่านั่งเบาะหน้า (ยาวๆ) เด็ดขาด
หัวคุณอาจโขกหรือพุ่งชนกระจกหน้ารถได้
พึงจับราวให้มั่น ก้าวขึ้น-ลงให้ไว
เวลาคนโบกให้จอด มันไม่ค่อยจอดตรงที่คนยืนคอย
มันจะวิ่งเลยไปให้คนวิ่งตาม
พอคนที่วิ่งเร็วที่สุดตามไปถึงแล้วก้าวขาจะขึ้นไป
มันจะกระตุกรถทีนึง
บังเอิญว่าคนโดยสารกระโดดขึ้นไปได้
มันจะกระชากรถอีกทีให้หน้าคะมำไปข้างหน้า
คนขับมันจะหันมามองอย่างสะใจ แล้วกระตุกรถไปเรื่อยๆ
ให้คนโดยสารคนต่อไปรู้รสชาดอย่างทั่วถีง.....
ทีนี้อีตอนขาลง ผู้โดยสารกดกริ่งครั้งแรก มันยังวิ่งตะบึงอย่างเมามัน

ผู้โดยสารกดกริ่งอีก มันจะตะคอกว่า

"กดครั้งเดียว...รู้แล้ว..เดี๋ยว (เซ็นเซอร์) ไม่จอดซะนี่!"

แล้วก็เบรคอย่างแรง

ผู้โดยสารทั้งคันต่างพากันหาหลักจับยึดบ้าง ที่จับไม่ทันก็หน้าคะมำคว่ำเค้เก้

รถยังไม่จอดสนิทดี กระเป๋า (ซึ่งหน้า***มพอกัน) มันจะบอก "ลงเร็วๆ ...... ลงเร็วๆ"

ผู้โดยสารคนต่อไปเพิ่งก้าวขาซ้ายลงไป คนขับมันจะกระชากรถไปเรื่อยๆ
ใครลงทันก็โชคดีไป ใครไม่ทันก็หน้าจ๋อย ยอมรับสภาพไปลงป้ายหน้าเอา

ปอ. 6 (พระประแดง-ปากเกร็ด)

รถเมล์สายที่วิ่งยาวที่สุด

เริ่มต้นสายจากจังหวัดสมุทรปราการ พาเที่ยวชมรอบเมืองกรุงเทพฯ อาทิ
พระปรางค์วัดอรุณฯ สะพานพุทธฯ วัดโพธิ์ ท่าเตียน ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ สนามหลวง
วัดพระแก้ว ฯลฯา
ไปจนสุดสายที่จังหวัดนนทบุรี ด้วยแพ็คเก็จราคาสุดประหยัด
(สมุทรปราการ-กรุงเทพฯ-นนทบุรี) เพียง 18 บาท ตลอดการเดินทาง
(กรุณานำอาหารมาเอง) เหมาะกับการพาคนแก่และเด็กเดินทางเล่น
เพราะจำกัดความเร็วเพียง 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปลอดภัยแน่ๆ

สนใจติดต่อ ขสมก.
เริ่มทัวร์ได้ 5.30 ถึง 21.00 น.
ปล. เนื่องจากใช้แอร์ระบบ Hottest First ป้องกันผู้โดยสารหนาวจนแข็งตาย
ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อหนาวมาแต่ประการใด

ปอ. 4 (ซึ่งเราว่าเป็นรถที่แน่นสุดในประเทศไทยแล้วมั้ง)

ทุกวันเราต้องพบนักห้อยโหนกายกรรมออกมาจากตัวรถ จนหวาดเสียวว่าจะเกิดอันตราย
กับเขาเหล่านั้นหรือเปล่า กระเป๋ารถเมล์ทุกคนได้รับการอบรมให้พูดเหมือนกันคือ

“ขึ้นบนมาหน่อยสิคะ"
"เดินหน้าชิดในหน่อย"
"คนหน้าคนหลังช่วยเดินหน่อยสิคะ"

บางทีก็ไม่เคยดูเลยว่าสภาพในรถเป็นไง ประมาณว่าโดนตั้งโพแกรมให้พูดยังไงก็พูดตาม

หากโดนกระเป่ารถถามว่า "ชิดในหน่อย..ที่ข้างๆ จะเอาไว้เตะตะกร้อเหรอ?"
ก็ตอบไปเลยว่า "เอาลูก (ตะกร้อ) มาให้เด่ะ! จะเตะให้ดู"

หรือบ้างก็ตะโดนกลับมาว่า "คุณผู้หญิงด้านหลัง ท้องไม่มีพ่อแล้ว!"
บางคนเกาะไปด้วยมือเดียวเท้าเดียวเท่านั้นเก่งจริงๆ
วันไหนโชคดีขึ้นได้ จะไปถีงออฟฟิศในสภาพหัวเหอเสื้อผ้ายับเยิน
จนเพื่อนมันเคยทักว่าไปโดนข่มขืนมาเหรอ!?

สาย 113 (มีนบุรี-หัวลำโพง)

รถสภาพโทรมชะมัด ประตูปิดไม่ได้ซักกะคัน
ในชั่วโมงเร่งด่วนคนอัดแน่นยังกะปลากระป๋อง แถมไม่ชอบจอดรับคนขึ้นด้วย
ขากลับจากหัวลำโพงแทนที่จะวิ่งเข้าพญาไท มันดันมุดเข้าซอยบ้าอะไรไม่รู้
ไปโผล่เอาบรรทัดทอง
คนที่รอขึ้นตรงสามย่านก็คอยไปเถอะ ชาตินึงกว่าจะโผล่มาทางพญาไทซักคัน

ปอ.1 (ปากคลองตลาด-มีนบุรี)

วิ่งจากมีนบุรี ผ่านหน้ารามฯ ผ่านพระโขนง ผ่านสุขุมวิท ผ่านสยาม แล้วก็ไปปากคลองตลาด
ด้วยความที่จากหน้ารามฯวิ่งไปสุขุมวิทมีสายเดียว (แต่ก่อนมีสาย 40 ด้วย แต่เดี๋ยวนี้มันไม่
ผ่านรามฯแล้ว)
ทำให้คนแน่นมากถึงมากกว่าแน่นที่สุด แน่นจนเวลาขึ้นนี่กอดคนข้างๆ ได้สบายมาก

ยิ่งวันเสาร์หรือวันธรรมดาตอนชั่วโมงเร่งด่วนนะ....ฮึ่ม.....อย่าฝันเลยจะได้นั่ ง
แต่พอถึงสุขุมวิท 24 (เอ็มโพเรียม-สวนเบญจสิริ) คนลงเกือบหมดรถเลย

สาย 33 (ปทุมธานี-สนามหลวง)

ที่จริงน่าจะเปลี่ยนเป็น นรก-อเวจี ดีกว่าค่ะ เร็วสุดๆ เคยนั่งช่วง 6 โมง จากปากเกร็ดถีงสนามหลวง 25 นาที
ตื่นไปเรียนไม่เคยนั่งหลับบนรถสายนี้เลย เพราะเคยมีคนนั่งหลับแล้วรถเข้าโค้งหน้าวัดสร้อยทอง ไม่รู้เจ้าที่แรงหรือเหตุอันใด

ชายผู้นั้นได้กระเด็นตกจากเบาะมาอยู่ที่พื้นรถโดยไม่รู้ตัว

แต่สามารถกลับขึ้นไปนั่งหลับต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เคยขึ้นสะพานแล้วลอยตัวอยู่ประมาณ 3 วินาที
พอตกลงมากระจกข้างๆ เราร้าวหมดทั้งแผ่นนึกว่ามอเตอร์ครอส

เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ขอแนะนำนะค่ะ

คนในรถนั่งมองหน้ากันแบบ ...
สงสัยว่าตูจะมีชีวิตรอดมั้ยนี่?!

ปอ. 356 (ปากเกร็ด-รังสิต)

ถ้าคิดจะทำหนังย้อนยุคสัก 30 ปี แนะนำให้ใช้ประกอบฉากได้
ความเร็วไม่เกิน 40 กม. ขับไม่เกินเกียร์ 3
วิ่งจากปากเกร็ด-หลักสี่ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง
แม้ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน เวลาเย็นรับสาวโรงงานกลับบ้าน
จะจอดรอกันหน้าโรงงานมั่ง เหมือนประหนึ่งเป็นอู่รถ
แถมซ้อนกัน 3 คันอีกต่างหาก
จากสภาพรถไม่น่าเชื่อว่าจะไปถึง ม.ธรรมศาสตร์รังสิตได้
เคยเสียกลางทางคนขับบอกให้ช่วยเข็นหน่อย

สาย 57 (ตลิ่งชัน - คลองสาน)

เนื่องจากสายนี้ต้องผ่านสถานที่หลายแห่ง ซึ่งเป็นที่เก่ามีประวัติและเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
เช่น เมื่อผ่านโพธิ์สามต้นคนขับจะถูกผีมอเตอร์วินเข้าสิง ซอกเล็กซอกน้อยพี่แกจะมุด เบียด
ปาด แซงซ้ายขวาเป็นที่หวาดเสียว

ครั้นออกถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีจะถูกผีรถบรรทุกเมายาบ้าเข้าสิง
แข่งกันไล่บี้ชนิดไม่กลัวอุบัติเหตุ จะจอดก็ตอนชนท้ายกับรถเก๋งหรือรถพัง
และเคยไหมขึ้นไปนั่งบนรถแล้วมองเห็นล้อวิ่งอยู่เพราะใต้ท้องรถมันทะลุ!

ปอ. 126

สายนี้สนับสนุนโดย The Mall เพราะวิ่งผ่าน The Mall ถึง 3 แห่ง คือ
ตั้งแต่งามวงศ์วาน บางกะปิ แล้วก็รามคำแหง
ส่วนสปอนเซอร์อีกรายคาดว่าจะเป็นเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
ตอนนี้ผ่าน 2 เมเจอร์ คือเมเจอรร์รามฯ กะรัชโยธิน
แล้วก็อีกนิดนึงจะผ่านเมเจอร์เอกมัย
.....โชคดีที่มาทะลุตรงพระโขนง...

ปอ. 157 (ปอ.32 เดิม บางประกอก-หมอชิต)

เราคิดว่าเป็นรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงพยาบาลมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ทั้งศิริราช รามาฯ พระมงกุฎ ราชวิถี โรงพยาบาลเด็ก ศูนย์วิจัยมะเร็งโรคปอด เปาโล

อภิธานศัพท์ 'ความจริงเกี่ยวกับรถโดยสารในเมืองไทย'

1. รถเมล์ = ก. รถประจำทาง พาหนะสำหรับผู้รักการผจญภัย
ข. พาหนะที่มักจะไม่มาเมื่อคุณรอ และวิ่งให้ว่อนเมื่อไม่ต้องการ

2. พขร. = พนักงานแข่งรถ

3. พกส. = พนักงานเก็บเงินผู้ใหญ่ที่สุด มีอำนาจสั่งการให้ผู้โดยสารไปไหนก็ได้
และ เป็นคนเดียวที่คุยกับ พขร. รู้เรื่อง

4. ผู้โดยสาร = บุคคลผู้เจียมเนื้อเจียมตัว บางครั้งถูกเปรียบให้เป็นปลา (กระป๋อง)

5. นายตรวจ = คนเดียวที่ พกส. กลัว

6. ค่าโดยสาร = จำนวนเงินที่ต้องจ่าย กรุณาจ่ายเป็นเศษสตางค์ ไม่รับเหรียญสลึงและแบงค์ ใหญ่กว่า 100 ฝ่าฝืนอาจถูกสรรเสริญจาก พกส. และอาจลามปามไปถึงบุพการีที่นอนอยู่ได้

7. ป้าย = ไป (สันนิษฐานว่าเลยไปเลย สังเกตจาก พกส. จะพูดคำนี้ทุกครั้งที่ถึงป้าย)

8. ที่นั่งสำหรับ ภิกษุ สามเณร = ที่นั่งสำหรับป้าตาถั่วหรือตาบอดสี โดยเฉพาะสีเหลือง

9. ที่นั่งสำหรับ คนพิการ = ดูข้อ 8 (คล้ายๆ กัน)

10. เด็ก สตรี และคนชรา = ประชาชนส่วนใหญ่ที่ประชาชนส่วนน้อยต้องเอื้อเฟื้อ จึงมักจะ (ดูต่อข้อ 11)

11. แกล้งหลับ = วิธีหลีกเลี่ยงจากข้อ 10

12. คนดีมีน้ำใจ = คนประหลาดในสายตาข้อ 11

13. กริ่ง = กดสองที ฟรีสองป้าย

14. รถไฟฟ้า = เครื่องช่วยหายใจคนกรุงฯ สามารถไปได้ทุกๆ ที่ยกเว้นบ้านคุณ

15. เรือด่วน = เครื่องช่วยหายใจอีกอย่างหนึ่ง เหมาะสำหรับคนว่ายน้ำเป็นและน้ำหนักตัวน้อย

16. แท็กซี่ = พาหนะที่พาคุณอ้อมไปจากเส้นทางจริง

17. สามล้อ = พาหนะสำหรับผู้มีสุขภาพปอดดี เคลื่อนที่ทุกๆครั้งที่มีที่ว่างมากกว่า 2 นิ้ว

18. ไมโครบัส = สูงสุดคืนสู่สามัญ (จากราคา 15 เป็น 20 เป็น 25 เป็น 30 และกลับมาเป็น 20 และเป็น 25 ในปัจจุบัน)

19. ครีมน้ำเงิน = วิธีการรีไซเคิล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงขึ้น (จากเดิม 2.50 บาท ปัจจุบัน 5 บาท)

20. ยูโร = วิธีการขึ้นราคาค่าโดยสารแบบมัดมือชก ราคามากกว่า แต่คุณภาพ เหมือนเดิม เฮ้อ สาธุ!!

ที่มา : จาก Narak.com คั้บ

4
บทความ (Blog) / แบบนี้ต้องไล่ออก!!
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 01:14:41 am »
CEO คนใหม่ของบริษัทประเทศไทย... ขอโทษ บริษัทประเภทไทยจำกัด
เพิ่งมารับงานฟื้นฟูกิจการที่ตกต่ำของบริษัทเป็นวันแรก
เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก
ซึ่งก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ใครทำงานไม่เต็มที่
จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด

หลังการประชุมเขาออกเดินตรวจตราบริษัทพร้อมกับผู้จัดการแผนกอีก 6-7 คน
ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคนอื่นทำงานอ
ย่างสบายใจ เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันทีแล้วถาม
“เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่?”
“เจ็ดพันครับ” ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำ
เขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันทีแล้วตะโกนลั่น
“นี่เงินเดือนๆสุดท้ายของคุณ แล้วเชิญคุณออกไปเลย
ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก”
ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที
ในขณะที่เขาหันหลังกลับมาหาพนักงานบริษัทที่ตะลึงกันถ้วนหน้าแล้วตะโกนถาม
“ใครตอบผมได้บ้างว่าไอ้หนุ่มนั่นทำอะไร เมื่อกี้นี้?”
ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาทีก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา



“เขามาส่งพิซซาครับ!!!”
ที่มา : Fwd mail

5
บทความ (Blog) / กฎน่ารักๆ ที่ทำให้คุณยิ้มได้
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 01:14:24 am »
เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตา
เพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร

เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไร แต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถเพื่อน
ออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตร กลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่

เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน
จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า
ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีก

นอกจากกฎของเมอร์ฟี่ ยังมีกฎอื่นๆ ที่มีผู้สังเกตพบมากมาย

จึงรวบรวมไว้ดังนี้

กฎความเป็นไปได้
ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ
และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับราคาของพรม



การดูดวง
หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลว
แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด



กฎแห่งความแม่นยำ
หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด



กฎของหาย
ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน



กฎของเมธี
เลขเด็ดที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น
และหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออก
หากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง
แต่ถ้าเราซื้อเลขกลับ มันจะออกเลขตรง
และถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย



กฎแรงโน้มถ่วง
วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นด้วย
ความเร็วขนาดที่ทำลาย ทรัพย์สินได้มากที่สุดเท่าๆกัน



ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ
หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย
หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า



กฎห้ามพูด
คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า "เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ"
กฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวัง
ถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหา
และถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา



กฎของโฮว์ (Howe's Law)
มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ



กฎของไซเมอร์กี้
ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ



ข้อสังเกตของอีตัวร์
รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา



กฎการแก้ปัญหา
ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆ อยู่ภายใน
ซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขลุล่วง



กฎทอง
คนมีทองคือคนออกกฎ



ธรรมชาติของมนุษย์
มนุษย์เรามีสองประเภท
ประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวก
ประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก



กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล
คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน
คนที่มีนาฬิกาเพิ่ม มาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง



กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ
การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยาก
เพราะงาน 90 % แรก จะกิน เวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ
ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ



กฎของโอ'รีลลี
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด



กฎของลีเบอร์แมน
นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร



กฎน้ำพริกถ้วยเก่า
เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่



ข้อเท็จจริงขององค์กร
ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียว
ที่มองเห็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กร และคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ



กฎการโต้เถียง
คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก



กฎการทำงานเป็นทีม
เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี



กฎการมองโลก
มนุษย์สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย
ที่เหลือมองร้ายกว่า
ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_*
เจ้าของบทความ : :: u n z e e n ::

6
ผมชอบคุณมากๆเลย พูดได้ว่าถึงขั้นรักคุณเข้าแล้วนะ
เวลาอยู่กับคุณทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

เพราะฉะนั้นผมถึงเขียนจดหมายฉบับนี้ให้คุณ หวังว่าคุณจะยอมรับความรักของผม
อยู่เคียงคู่ผมไปจนชั่วฟ้าดินสลาย…

แต่ว่า คุณยังไม่ต้องรีบตอบผมก็ได้ ผมจะเล่าเรื่องบางเรื่องให้คุณฟังก่อน…

เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วได้มั้ง มีผู้หญิงผู้โชคดีคนหนึ่งดังเช่นคุณ
ได้รับจดหมายรักจากผมฉบับหนึ่งเช่นเดียวกันกับคุณ…

ในตอนนั้นเธอตอบผมว่า “ขอโทษนะ ฉันรู้สึกว่าคุณกับฉันไม่สามารถเป็นไปได้มากกว่าเพื่อน”
ผมเสียใจมากเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ผมจึงหั่นเธอออกเป็นท่อนๆเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านผม…

และก็ 4 ปีก่อน ผมหนีออกมาจากความเศร้าเมื่อ 5 ปีก่อนนั้นได้แล้ว
และเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้แก่หญิงสาวผู้โชคดีอีกคนหนึ่ง…

คำตอบของเธอคือ “ฉันมีแฟนอยู่แล้ว”

ผมจึงนัดแฟนเธอออกมาเจรจากันตัวต่อตัว
เมื่อเขาเผลอ ผมจึงใช้ก้อนอิฐทุบหัวเขาจนตายแล้วยัดไว้ในถังใส่ปูนซีเมนต์ทิ้งลงทะเลไป
หลังจากนั้น ผมก็ใช้ยาพิษฆ่าเธอตาย แล้วแช่ฟอร์มาลีน เก็บร่างเธอไว้ในห้องใต้ดินบ้านผม…

3 ปีก่อน ผมหาแฟนสาวได้คนนึง แต่ไม่นานเธอก็โวยวายขอเลิกกับผม
ผมไม่ต้องการให้เธอจากไป จึงใช้เชือกรัดคอเธอตายแล้วผูกไว้ที่เพดานบ้านผม…
หลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะที่จะมีคนรักได้ จึงปิดหัวใจตัวเองไว้

เวลาผ่านมาได้ 2 ปี ผมได้พบกับคุณ คุณได้เปิดหัวใจอันว้าเหว่ของผมแล้ว...
ตอนนี้ คุณสามารถตัดสินใจตอบผมได้แล้ว


คุณรักผมไหม?
ที่มา : Fwd mail

7
“If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed. “
Adolf Hitler, Mein Kampf “Why the second reich collapse”

“หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ”
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, การต่อสู้ของข้าพเจ้า “เหตุใดจักรวรรดิไรค์ที่ 2 จึงล่มสลาย”

เคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมคนที่ดูฉลาด เก่งกาจ จำนวนมาก กลับตกเป็นสาวกลัทธิแปลกประหลาดที่ผิดสามัญสำนึกโดยสิ้นเชิง
เคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมฝูงชนหมู่มากเมื่อมารวมกัน จึงถูกหลอกให้เชื่อเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ และไม่ควรเชื่อได้บ่อยๆ
เคย สงสัยกันไหม ว่าชนชาติที่ขยัน อดทน และมีมันสมองชั้นเลิศอย่างญี่ปุ่นและเยอรมัน จึงถูกผู้นำหลอกให้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของเขาได้

นักสื่อสาร นักจิตวิทยา ต่างศึกษาจิตใจของผู้คน และกระแสของมวลชน จนสรุปว่า
การ propaganda (ไทยแปลศัพท์ว่า โฆษณาชวนเชื่อ) เป็นต้นเหตุของความผิดเพี้ยนทางความคิดทั้งปวง
แน่นอนว่า นักจิตวิทยาและนักสื่อสารบางส่วนนำผลสรุปนี้ไปใช้ประโยชน์ สร้างระบบจิตวิทยามวลชน อุปาทานหมู่ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ทำอย่างไรเราจะรู้ทันการโฆษณาชวนเชื่อนี้ล่ะ

บทความนี้ไม่ได้มีเพื่อให้นำวิธีการต่างๆไปใช้ แต่เพื่อให้รู้เท่าทันและระวังตัวไม่ตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป
หลักการโฆษณาชวนเชื่อ อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล

สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัวและคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์
ตัวอย่างเช่น การโฆษณาชวนเชื่อโจมตีสตาลิน ในยุคลัทธิแม็คคาร์ธีของสหรัฐทศวรรษที่ 60 ว่าโหดม ดุร้าย ป่าเถื่อนไร้อารยธรรม การสร้างข่าวโจมตีนายกฯวินสตัน เชอร์ชิลว่าเป็นคนโง่ ดื้อด้าน ของนาซี หรือแม้แต่การโฆษณาโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นอัตติลาชาวฮัน หรือทายาทซาตาน ตัวแทนสัตว์นรก 666 ของฝ่ายสัมพันธมิตรเอง

2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก

มีสำนวนไทยว่าไว้เข้าทีว่า “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน” แล้วใจคนอ่อนๆจะทนได้อย่างไร(ฮา) เมื่อนำ้คำลมปากกรอกหูเข้าทุกวัน
สาวบางคนมีแฟนหนุ่มหล่อเท่อยู่ดีๆ วันเลวคืนร้ายเพื่อนตัวดีกริ๊งกร๊างมาว่า ” นี่เธอ เพื่อนของฉันเห็นหนุ่มหล่อๆหน้าตาคล้ายๆแฟนเธอเดินควงอยู่กับหนุ่มที่ไหนก็ ไม่รู้ เนี่ย ชั้นล่ะสงสัยอยู่แล้วนะ ว่าแฟนเธอจะเป็นเกย์”

หนแรกไม่เชื่อหัวเราะใส่โทรศัพท์
หนสองเริ่มลังเล
หนสาม เอ๊ะ ชักไม่เข้าที ลองถามที่รักดูดีไหมนะ
หนสี่อดรนทนไม่ได้ถามออกไป ปรากฏว่าเป็นคุณแฟนพาคุณพ่อไปโรงพยาบาลซะฉิบ

แต่คราวนี้ หนที่ห้าถ้ามีอีก คุณอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าแฟนคุณโกหก แม่เพื่อนตัวดีก็ใส่ไฟใหญ่ “เนี่ย แฟนเธอโกหกชัดๆ ผู้ชายที่เพื่อนชั้นเห็นเดินควงกับแฟนเธอน่ะ ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย สัก 16-17 นี่แหละ จะเป็นคุณพ่อได้ยังไง”
หนที่หกเริ่มหงุดหงิดทุรนทุราย ออกสะกดรอยตาม แต่ก็ไม่เจอจังๆ
หนเจ็ด แฟนจับได้ว่าแอบตามเขาไป “นี่คุณไม่ไว้ใจผมใช่มั้ย ถ้าอย่างนี้ เราเลิกกันดีกว่า”
ต้องนั่งร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า จะโทษเพื่อน เพื่อนตัวดีก็บอกว่า “ก็ขอโทษนะ ฉันไม่ได้เห็นเองนี่ เพื่อนของเพื่อนฉันบอกมาอีกที แถมเค้าไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนเธอนิ แค่หน้าคล้ายๆ”

แต่สุดท้าย คุณก็เห็นแม่เพื่อนตัวดีเดินจู๋จี๋กับแฟนเก่าคุณซะงั้น……

3. Big Lie : โกหกคำโต

โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945) รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวาของฮิตเลอร์ กล่าวว่า

“The bigger the lie, the more it will be believed.”
“ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น” และ

“The great masses of people will more easily fall victims to a big lie than to a small one.”
“ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ”

การโกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

4. Name calling : สร้างสมญานาม

การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู เป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง
เช่น Iron Curtain : ม่านเหล็ก ที่ดูน่ากลัว, The Third Reich ที่ย้อนโหยหาคืนวันอันรุ่งเรืองในอดีต และมักใช้สถาบันที่สูงส่งเข้ามาสร้างภาพเป็นส่วนหนึ่งของชื่อด้วย เช่น Imperial Army : กองทัพบกของสมเด็จพระจักรพรรดิ ของกองทัพญี่ปุ่น ถ้าจะหาเอาใกล้ๆก็เช่น ฟักแม้ว, หน้าเหลี่ยม, หมูกชมพู่, นอมินีเหลี่ยม, กะทิ, มารเฒ่าแซ่ลิ้ม, โจรโพกผ้าเหลือง เป็นต้น

ขนาดพันธบัตรยังใช้คำว่า พันธบัตรเสรีภาพเลย

5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ

ผู้โฆษณาชวนเชื่อ ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายธรรมะ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คำพูดของจอร์จ บุช จูเนียร์ เมื่อตัดสินใจบุกอิรักว่า “If you don’t be aside with America, you are with terrorrist.”

ใน โลกสีเทาหม่นๆของความเป็นจริง เราแสวงหาความดี ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ เมื่อผู้โฆษณาชวนเชื่อตั้งธงให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจนย่อมไม่แปลกที่ จะหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย และอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

ใช่-ไม่ใช่พี่น้อง (ฮา)

6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ

การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์ ศาสดาที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ มหาตมะคานธี อับราฮัม ลินคอล์น อ้างพระคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ฯลฯ

แต่ การอ้างดังกล่าวแตกต่างไปจากการเผยแผ่หรือโน้มนำที่ดีตามปกติ ด้วยว่าการโฆษณาชวนเชื่อ จะนำภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งสวยงามเหล่านั้นมาบิดเบือนให้เข้าข้างแนวคิดของตน
เช่น นาซีอ้างพระคัมภีร์ที่ว่ายูดาทรยศพระคริสต์ มาบ่มเพาะความเกลียดชังชาวยิวทั้งหมด โดยละเลยไปว่าพระคริสต์เองและอัครสาวกก็เป็นชาวยิว,
ฏอลิบันอ้างกุรอ่าน ว่าห้ามบูชารูปเคารพ มาทำลายพระพุทธรูปโบราณที่บามิยัน ทั้งๆที่ไม่มีใครแถวนั้นบูชาอีกแล้ว เป็นเพียงมรดกศิลปะเก่าแก่เท่านั้น

7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน

การบอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี….
ยิ่ง ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก และยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า “ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้ล่ะ”

ข้อนี้เราคงเห็นกันตามสื่อสารมวลชนอยู่ทุกวันแล้วนะครับ

ปกติ หน้าที่ของสื่อข้อหนึ่งคือ Gatekeeper ผู้คัดกรองข่าวสาร เลือกข่าวสารที่มีประโยชน์และเป็นจริง และกำจัดข้อมูลชยะที่เป็นเท็จและไม่เป็นประโยชน์ทิ้งไป
รวมถึงการเรียบเรียงข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่เมื่อสื่อมาโฆษณาชวนเชื่อแล้ว การคัดกรองข่าวสารก็จะบิดเบี้ยว
กลาย เป็นว่า คัดเฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตน มีประโยชน์ต่อตนเอง หรือหากข้อมูลเป็นกลางก็จะนำมาตัดแต่งเติมต่อตีความให้เข้ากับแนวคิดของตน เอง
รวมทั้งการเรียบเรียงให้ง่าย(simplification) ที่ตัดทอนและละเลยข้อเท็จจริงไป แล้วนำเรื่องยากซับซ้อนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจสูงมาพูดเป็นเรื่องพื้นๆให้ คนเชื่อตาม

เ่อ่อ นี่อาจจะเป็นตัวอย่างได้ http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=339560

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

การโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่างและน่ากลัวกว่าการโฆษณาและชักจูงตามปกติ
เพราะมันจะทำให้ตรรกะของคุณบิดเบี้ยวโดยคุณไม่รู้ตัว
คุณจะเห็นคนอื่นผิดหมด ขณะที่ตัวเองถูกต้องเพียงคนเดียว
คุณจะไม่เหลียวแม้แต่หางตามองสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเชื่อของคุณ
คุณจะกล้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี คนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ ทั้งๆที่คุณไม่เคยมีนิสัยหยาบคายมาก่อน
คุณจะพร้อมบริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สินให้กับสิ่งที่คุณเชื่อ โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว
และเมื่อคุณรู้ตัว สังคมของคุณจะเหลือเพียงแต่กลุ่มคนที่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อแบบเดียวกับคุณเท่านั้น

War is Peace
Freedom is Slavery
Knowledge is Ignorance

Big Brother is Watching You!

ระวัง! ผมอาจจะกำลังโฆษณาชวนเชื่อพวกคุณผู้อ่านอยู่เช่นกัน

อ้างอิง

กิติมา สุรสนธิ. การสื่อสารสาธารณมติ. คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.
http://en.wikiquote.org
http://en.wikipedia.org/wiki/Propaganda
http://www.holocaustresearchproject.org/holoprelude/nazprop.html
ที่มา : ไม่ประสงค์ออกนาม
เจ้าของบทความ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1159758

8
บทความ (Blog) / ผมรักคุณ..."สุรา"
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 01:13:02 am »
1. สุราไม่เคยช้อปปิ้ง และไม่จำเป็นต้องให้เงินใช้

2. เป็นการง่ายที่คุณจะคบกับสุรานานาชาติโดยไม่ต้องมีปัญหาเรื่องภาษา ไม่ว่าจะเป็นเหล้ามะกัน ไวน์ฝรั่งเศส สาเกยุ่น เหมาไถจีน.. แต่การจะหาภรรยานานาชาติ อาจเป็นเรื่องที่ต้องพยายามกันเป็นปีๆ

3. สุราร้อนทำให้เย็นได้ด้วยการจับยัดตู้เย็น เสียค่าไฟสิบบาท แต่เมื่อภรรยาอารมณ์ร้อน กว่าเธอจะเย็นขึ้นมาได้ คุณอาจต้องเสียเงินซื้อดอกไม้ช่อละหลายร้อย น้ำหอมขวดละหลายพัน หรือค่าโทรศัพท์อีกนับนาทีไม่ทัน

4. คุณสามารถเปลี่ยนขวดที่กอดอยู่ข้าง ๆ ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่ถ้าจะเปลี่ยนคนที่คุณนอนกอดข้างๆ.. เอ้อ.... ได้ตื้บแน่!!

5. คุณนั่งดูถ่ายทอดฟุตบอลคู่กับสุราได้นานเท่าที่ต้องการ

6. สุราไม่เคยสั่งให้คุณไปซักผ้า ล้างรถ ตัดหญ้าสนาม ถูบ้าน ซ่อมห้องน้ำ ปูกระเบื้อง ปะหลังคารั่ว ย้ายชั้นวางของ ตอกตะปูแขวนรูปในห้องรับแขก

7. สุราเปลี่ยนนิสัยคุณแค่ชั่วคราวหลังดื่ม แต่ภรรยาพยายามเปลี่ยนนิสัยคุณแบบถาวรด้วยกำลัง

8. คุณสามารถนอนเกาก้นและเรอดัง ๆ กับสุราได้โดยไม่ถูกบ่นว่าหรือมองตาเขียว

9. คุณสามารถหาซื้อสุราได้ง่ายและบ่อยเท่าที่กระเป๋าคุณเต็มใจ แต่มักไม่สามารถหาภรรยาได้ในราคาเต็มใจกระเป๋า แถมเปลี่ยนไม่ได้ง่าย ๆ เสียด้วย

10. สุราไม่เคยแย่งกับแกล้มคุณกิน และเข้ากับเพื่อนร่วมวงของคุณได้เสมอ

11. คุณสามารถตีตัวออกห่างจากสุราได้เมื่อรู้สึกเบื่อ และเมื่อใดที่คุณกลับไปหา.. สุราก็ยินดีต้อนรับคุณทุกครั้ง

12. สุราไม่เคยหยิบเรื่องห่วย ๆ ที่คุณทำ (หรือเป็น) ไปเม้ากับเพื่อนๆ

13. คุณพูดได้มากเท่าที่ต้องการเมื่อนั่งอยู่กับสุรา จะไม่มีเสียงบ่นว่า 'หยุดเดี๋ยวนี้นะ' - 'พอได้แล้ว' - 'นี่คุณ...' - 'หุบปาก' ให้ได้ยินอย่างเด็ดขาด

14. สุราทุกขวดไม่เคยห่วงว่าคุณจะรักสุราขวดอื่นมากกว่า

15. สุรายิ่งเก่ายิ่งดี มีราคาเพิ่มขึ้นตามเวลา แต่ภรรยาเนี่ยสิ...
ที่มา : ไม่ประสงค์ออกนาม

9
คำว่า ผู้หญิงหลายใจ คงไม่รื่นหูนักเมื่อได้ยินจากปากหลายๆ คน เอ่ยถึงผู้หญิงที่คบผู้ชายไม่เลือกหน้า แต่พวกเขาจะรู้ไหมนะว่า ผู้หญิงหลายใจเหล่านั้นก็มีเหตุผลต่างๆ ที่น้อยคนนักจะรับรู้ได้ อาทิ

1. ไม่มีเวลาให้กับความผูกพันที่ลึกซึ้ง
ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงที่ชื่นชอบกับการคบใครหลายๆ คน มักจะมีภาระหนักๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป้นเรื่องงานที่ท่วมหัว หรือใช้เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงและครอบครัวมากกว่าที่จะทุ่มเทชีวิตให้แก่ผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ผู้หญิงเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์แค่ผิวเผินกับผู้ชาย เพื่อที่จะหาโอกาสง่ายๆ ที่จะผละพวกเขาทิ้งเสียเมื่อไม่ต้องการ แค่เพียงหนึ่งคืนก็เพียงพอแล้วกับการออกเดทกับผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อเย็นที่ร้านหรูๆ สักแห่ง ฟังเพลงเพราะๆ แล้วก็จบด้วยการมีเซ็กซ์กับเขาเพียงแค่ข้ามคืน เหตุที่ผู้หญิงเหล่านี้ชอบทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ต้องการรับรู้นิสัยที่ไม่เอาไหนของผู้ชายที่จะเกิดขึ้น หลังจากมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพวกเขาแล้ว

2. กลัวการผูกมัด
ผู้หญิงหลายคนที่กลัวการผูกมัด เมื่อต้องคบกับผู้ชายคนใดคนหนึ่ง เพราะการที่จะคบใครจริงจังต้องมีความเสียสละสูง และการที่ต้องเสียสละนี้เองที่ทำให้ผู้หญิงหลายคน ทำไม่ได้ และอีกประการหนึ่งคือ ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นจากการเสียสละของผู้หญิงเหล่านั้น และได้รับผลตอบแทนอันเจ็บปวดจากผู้ชายคนเก่าของพวกเธอ ทำให้พวกเธอกลัวที่จะเสียความรู้สึกรักนี้ให้ใครอีกครั้งหนึ่ง

3. เป็นกิจกรรมที่คิดว่าน่าสนุก
เซ็กซ์ย่อมคู่กับความสนุก สุข สมหวัง จนมีผู้หญิงหลายคนที่คิดเพียงว่า มีเซ็กซ์เพราะชื่นชอบลีลา ท่าทางของการมีเซ็กซ์เท่านั้น แต่ไม่ได้ชื่อชอบผู้ชายที่พวกเธอกำลังจะมีเซ็กซ์ด้วยอยู่เลยแม้แต่น้อย

4. เพื่อการแก้แค้น
แน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงได้รับความเจ็บปวดจากการทอดทิ้งของผู้ชาย ผู้หญิงบางคนก็จะเศร้าสลด และเก็บตัวเงียบไม่ยอมสุงสิงกับใคร แต่กับอีกบางคนที่ลุกขึ้นมาเพื่อฮึดสู้เพื่อแก้แค้นผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เจ็บปวดเหมือนเธอ ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดการคบผู้ชายไม่เลือกหน้า เพื่อสลัดรักเขา แต่ยิ่งพวกเธอทำให้ผู้ชายเจ็บผวดเท่าไหร่ ความเจ็บปวดนั้นกลับยิ่งทวีคูณให้แก่พวกเธอมากเท่านั้น แทนที่จะเป็นผลเสียให้แก่ผู้ชาย กลับกลายเป็นว่าผู้ชายทั้งหลายกับโปรดปรานการประชดประชันแบบนี้ของผู้หญิง

5. เพื่อลืมอดีตที่แสนหวาน
เป็นเรื่องจริง เมื่อผู้หญิงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชายใดแล้ว แต่ภายหลังกลับถูกทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย พวกเธอจึงกลัวที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่กล้าที่จะไปมีความผูกพันแบบลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนอีก จึงเป็นเหตุให้ผู้หญิงเหล่านี้กล้าที่จะลองคบกับผู้ชายหลายๆ คน เพื่อแก้เหงา และลืมคนเก่าไปได้

6. สุดท้ายที่ผู้หญิงเหล่านั้น พูดปฎิเสธไม่เป้น
หากผู้ชายมีถ้อยคำหวานๆ แสดงความสุภาพกับผู้หญิง ยากนักที่ผู้หญิงจะกล้าปฎิเสธได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนสนิท เพื่อน หรือแม้แต่เจ้านาย เมื่อพวกเธอหลวมตัวออกเดทกับหนุ่มประเภทนี้แล้ว น้อยนักที่จะปฎิเสธการมีเซ็กซ์กับพวกเขาได้

และอีกหลายๆ เหตุผล ที่ผู้หญิงหลายคนเลือกที่จะคบกับผู้ชายหลายคนไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้คิดจะยึดติดกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน จนเป็นเหตุให้เธอลืมนึกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของผู้หญิงว่า ต้องการทะนุถนอมจากผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดแค่คนเดียวเป็นเช่นไร .....

ที่มา : Fwd mail
เจ้าของบทความ : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

10
บทความ (Blog) / หัดมองดูหัวใจตัวเองซะบ้าง!
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 01:10:50 am »
สุข เศร้า เหงา และรัก ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น จากจิตใจ ของตัวเราเองทั้งนั้น หัวใจเวลาสุข ก็แสนจะอิ่มเอม เบิกบาน หน้าตาก็สดใส แต่ถ้าหากวันใดหัวใจเราเศร้า มีทุกข์ จากที่เคยสดใส ก็กลายเป็นหม่นหมอง น่าจะได้ เวลาแล้ว ที่เราต้องหันมาดูแลเอาใจใส่หัวใจตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพา อาศัยให้ใครมาช่วยดูแล

จะมีไหมที่หัวใจ...จะได้หยุด
หยุดเพื่อคิด..หยุดเพื่อสร้าง...ถึงสิ่งใหม่
วันนี้คุณดูแลหัวใจคุณเอง แล้วหรือยัง ?
หยุดเพื่อเติม...สีสันและ...แรงใจ
หยุดเพื่อเติม...สิ่งใหม่...ให้ตัวเอง
หัวใจ...ใช่เป็นดั่ง...เหล็กกล้า
จึงต้อง...ให้เวลา...ใจ..พักบ้าง
ให้เวลา...เพื่อเก็บ...ซึ่ง..ประสบการณ์
ให้เวลา...สร้างตำนาน...แห่งหัวใจ

มีบ้างยามเหนื่อยล้าพาโหยไห้
ไม่มีใครคอยปลอบใจยามทุกข์เศร้า
อาจเจ็บแค้นแน่นอกใยต้องเป็นเรา
ไม่ใช่เขาไม่ใช่เหล่าคนอื่นเลย....
(อิๆ เว้นวรรคดีก่า)
มันก็มีบ้าง ที่บางครั้งต้องหยุด เพราะเดินมามากเกินไป
คำเท่ห์ๆ มันช่วยให้ชีวิตเดินต่อไปได้ก็จริง แต่มันทำให้เราเหนื่อยจนเกินกว่าจะเป็น "Keep Walking / แค่คุณหยุดก้าวก็เท่ากับคุณถอยหลัง"
การหยุดก็เท่ากับการได้พัก และมีเวลากับตัวเองมากขึ้น
บางทีก็อาจทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นก็เป็นได้
ขอให้มีความสุขในการหยุดพักครับ ...คุณเลือกเอง


ที่มา : ไม่ประสงค์ออกนาม

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11