Blog

Blogsเขียนบทความใหม่ http://www.tairomdham.net/image/post/Thankyou.pngThank you แทนคำขอบคุณ PM เขียนจดมายส่วนตัว

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - sithiphong

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 181
1
.
.
.
คน และ กลุ่มบุคคล รวมถึง คน และ กลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนทั้งทางตรง และ ทางอ้อม
ที่มีเจตนาในการนำต่างชาติเข้ามาครอบงำประเทศไทย
.
มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันกับ การเสียดินแดนให้กับต่างชาติ
เพียงแต่เป็นการเสียเอกราช แต่ไม่ได้เสียดินแดน (เหมือนกับสมัยก่อน)
และ ให้ต่างชาติมาจูงจมูกและสั่งให้เดินไปตามที่ต่างชาติต้องการ
.
แต่ ..................
ดินแดน และ ความเป็นเอกราช ที่องค์พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์
และ วีระบุรุษของคนไทย ที่ยอมเสียสละ ชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยของคนไทย
จะถูกคนบางกลุ่ม(ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทั้งทางตรงและทางอ้อม) กระทำการเนรคุณต่อ องค์พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ และ วีระบุรุษของคนไทย ที่ยอมเสียสละ ชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยของคนไทย
.
ตราบใดที่กรรมดียังส่งผลอยู่  กรรมชั่วที่ได้กระทำไว้ ไม่สามารถส่งผลได้
หากเมื่อใดที่กรรมชั่วส่งผล ทำอย่างไรก็ตาม ยังไงก็ต้องรับผลของกรรมชั่วแน่นอน
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
ประวัติศาสตร์ไทย กับการเสียดินแดนให้ต่างชาติจำนวน 14 ครั้ง
.
ที่มา guideubon
.
.
นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อพ.ศ.2325 จวบจนปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้องเสียดินแดนให้ต่างชาติ ถึง 14 ครั้ง ต้องดูให้จบนะ น้ำตาไหล ขอขอบคุณผู้จัดทำ รวมทั้งผู้ประพันธ์เนื้อร้อง ทำนอง และผู้ขับร้องแหล่ด้วยครับ ขอคารวะและขอปรบมือให้ สุดยอด สุดยอด
.
.
ประวัติศาสตร์การเสียดินแดนของประเทศไทย มีดังนี้
.
.
ครั้งที่ 1 เสียเกาะหมาก (ปีนัง) ให้กับประเทศอังกฤษ
เมื่อ 11 สิงหาคม 2329 พื้นที่ 375 ตร.กม. ในสมัย ร.1 เกิด จากพระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก เพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป
.
.
ครั้งที่ 2 เสียมะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้กับพม่า
เมื่อ 16 มกราคม 2336 พื้นที่ 55,000 ตร.กม. ในสมัย ร.1 แต่เดิมเป็นของไทยครั้งสมัยสุโขทัย มังสัจจา เจ้าเมืองทวายเป็นไส้ศึกให้พม่า รัชกาลที่ 1 ไม่สามารถตีคืนจากพม่าได้ ประกอบกับชาวเมืองทวายไม่พอใจกองทัพไทยที่เข้ายึดครอง จึงตกเป็นของพม่าไป
.
.
ครั้งที่ 3 เสียบันทายมาศ (ฮาเตียน) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ พ.ศ.2353 ในสมัยรัชกาลที่ 2
.
.
ครั้งที่ 4 เสียแสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่า
เมื่อ พ.ศ.2368 พื้นที่ 62,000 ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ 3 แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ 20 ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ไกล ประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และเกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้ (กลันตัน ไทรบุรี) ไทยจึงห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีกำลังใจจะยึดครอง หลังจากนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เชียงตุงก็เป็นของอังกฤษโดยสิ้นเชิง
.
.
ครั้งที่ 5 เสียรัฐเปรัค ให้กับอังกฤษ
เมื่อ พ.ศ.2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการสูญเสีย ที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง 1 ปี
.
.
ครั้งที่ 6 เสียสิบสองปันนา ให้กับจีน
เมื่อ 1 พฤษภาคม 2393 พื้นที่ 90,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราช หนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง) แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่พร้อมเพรียงกัน มาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป
.
.
ครั้งที่ 7 เสียเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2410 พื้นที่ 124,000 ตร.กม. ในสมัย ร.4 ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครอง จากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดน เขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจาก ฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ 15 มกราคม 2438 โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับ การดำเนินนโยบายของ ร.5 ที่ไปประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทย ฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป
.
.
ครั้งที่ 8 เสียสิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ 22 ธันวาคม 2431 พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อ ก่อกบฏ ทางฝ่ายไทยจัด กำลังไปปราบ 2กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลัง จากปราบได้แล้ว ก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุด ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง (เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษา เมืองไลและเมืองเชียงค้อ
.
.
ครั้งที่ 9 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) ให้กับประเทศอังกฤษ
ในสมัย รัชกาลที่ 5 เมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2435 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากรอันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
.
.
ครั้งที่ 10 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ 3 ตุลาคม 2436 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญา ไทยกับฝรั่งเศส เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย 1 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอ ฝรั่งเศสได้ ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง 15 ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุด ของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่องแต่งกาย เพื่อนำเงินมาถวาย ร.5 เป็นค่าปรับ ร.5 ต้องนำถุงแดง (เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้
.
.
ครั้งที่ 11 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่านคือ จำปาสัก และไซยะบูลี) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ 12 พฤษภาคม 2446 พื้นที่ 25,500 ตร.กม. ในสมัย ร.5 ไทยทำสัญญากับฝรั่งเศส เพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืน จันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรี แล้วไปยึด เมืองตราดแทนอีก 5 ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้ว ยังลุกล้ำย้านนาดี, ด่านซ้าน จ.เลย และยังได้เอาศิลาจารึกที่ พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย
.
.
ครั้งที่ 12 เสียมลฑลบูรพา (พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ) ให้กับฝรั่งเศส
เมื่อ 23 มีค. 2449 พื้นที่ 51,000 ตร.กม. ในสมัย ร.5 ไทยได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับ ของฝรั่งเศส ในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมาก เพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ 6 กรกฎาคม 2450 กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย
.
.
ครั้งที่ 13 เสียรัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี, ปริส ให้กับอังกฤษ
เมื่อ 10 มีนาคม 2451 พื้นที่ 80,000 ตร.กม. ในสมัย ร.5 ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย
.
.
ครั้งที่ 14 เสียเขาพระวิหาร ให้กับเขมร
เมื่อ 15 มิถุนายน 2505 พื้นที่ 2 ตร.กม. ในสมัย ร.9 ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจาก หลักฐานสำคัญของเขมร ในสมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะเสด็จเขาพระวิหาร จึงขึ้นไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วถ่ายรูปไว้เป็น หลักฐาน และนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงต่อศาลโลก ด้วยเสียง 9 ต่อ 3
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
ความทุกข์ในพระราชหฤทัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสยามต้องเสียดินแดน
.
ที่มา เว็บไซด์ ศิลปวัฒนธรรม
.
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2560
ผู้เขียน ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2562
.
.
 “—เป็นการจำเป็นที่เราต้องละวางเขตรแดน อันเราได้ปกปักรักษามาแล้วช้านานนับด้วยร้อยปีเสียเป็นอันมาก โดยผู้ที่ต้องการไม่มีข้อใดจะยกขึ้นกล่าวทวงถามเอาโดยดี นอกจากใช้อำนาจได้—” เป็นข้อความในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึงพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระราชโอรสซึ่งทรงกำลังศึกษาวิชาการทหารบกอยู่ ณ ประเทศเดนมาร์ก เป็นพระราชปรารภถึงความทุกข์ในพระราชหฤทัยที่เกิดจากการคุกคามของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมตะวันตก ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือการล่าเมืองขึ้น และเวลานั้นประเทศเพื่อนบ้านมี ลาว เขมร ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่ยอมหยุดยั้งเพียงนั้นยังคงคุกคามที่จะเข้าครอบครองสยาม จนทำให้ต้องยอมเสียดินแดนที่เคยเป็นของสยามไปจำนวนหนึ่ง จึงเป็นที่มาของข้อความที่ว่า “—เป็นการจำเป็นที่เราต้องละวางเขตรแดน อันเราได้ปกปักรักษามาแล้วช้านานนับด้วยร้อยปี—”
.
การคุกคามของนักล่าอาณานิคมตะวันตก เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่มาในรูปของการติดต่อค้าขาย การเผยแผ่ศาสนา การคุกคามเริ่มชัดเจนจริงจังและรุนแรงขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะเมื่อสองประเทศมหาอำนาจ คือ อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ายึดครองประเทศเพื่อนบ้าน คืออังกฤษยึดได้พม่ามลายู ฝรั่งเศสยึดได้ญวนและกำลังขยายขอบเขตมาสู่เขมรและลาว ซึ่งเป็นประเทศราชของสยาม ฝรั่งเศสมีทีท่าคุกคามสยามอย่างหนักและเปิดเผยเพื่อจะได้ครอบครองเขมรและลาว โดยไม่ฟังเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ มุ่งแต่จะใช้เล่ห์กลและอำนาจเข้ายึดครอง ดังข้อความในพระราชหัตถเลขาที่ว่า “—โดยผู้ที่ต้องการไม่มีข้อใดจะยกขึ้นกล่าวทวงถามเอาโดยดี นอกจากใช้อำนาจได้—” ซึ่งนับเป็นความทุกข์โทมนัสอย่างใหญ่หลวงในพระองค์ ดินแดนในครอบครองที่ทรงต้องยอมเสียให้แก่ฝรั่งเศสนั้นในเบื้องแรกถึง ๓ ครั้ง
.
ครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๔๑๐ ไทยต้องเสียเขมรส่วนนอก เพราะหลังจากฝรั่งเศสยึดดินแดนบางส่วนของญวนได้ก็ใช้ดินแดนนี้เป็นที่มั่นขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมร ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทย โดยอ้างว่าตนเป็นผู้สืบสิทธิญวนเหนือเขมร เพราะฝรั่งเศสอ้างว่าเขมรเคยเป็นประเทศราชของญวนมาก่อน เมื่อฝรั่งเศสได้ญวนฝรั่งเศสจึงต้องมีสิทธิปกครองเขมรด้วย
.
ครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ ต้องทรงยอมเสียแคว้นสิบสองจุไทให้ฝรั่งเศส เพราะเมื่อฝรั่งเศสยึดญวนได้หมด ญวนอ้างว่าดินแดนแคว้นสิบสองจุไทและหัวพันห้าทั้งหกเคยเป็นของตนมาก่อน ฝรั่งเศสจึงถือเป็นข้ออ้างเข้ายึดแคว้นสิบสองจุไท ทั้งที่ขณะนั้นแคว้นสิบสองจุไทเป็นหัวเมืองของลาว และลาวก็เป็นประเทศราชของไทยฝรั่งเศสก็ไม่ให้ความสนใจ ไทยจึงต้องเสียแคว้นสิบสองจุไทให้กับฝรั่งเศส
.
ครั้งที่ ๓ ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยต้องเสียดินแดนบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงคือลาวให้กับฝรั่งเศส ครั้งนี้เป็นครั้งที่ทรงทุกข์โทมนัสที่สุด เพราะฝรั่งเศสใช้เล่ห์เพทุบายล้วนๆ
.
เริ่มด้วยการพยายามเกลี้ยกล่อมและผูกมิตรกับชาวลาวทุกชั้นด้วยกลวิธีต่างๆ ให้ชาวลาวยอมรับอำนาจการปกครองของฝรั่งเศส และเมื่อสยามพยายามที่จะปกป้องอาณาเขตของตน ฝรั่งเศสก็กล่าวหาว่าการกระทำของสยาม เป็นการเตรียมที่จะทำสงครามกับฝรั่งเศส การคุกคามของฝรั่งเศสเริ่มรุนแรงขึ้น ยิ่งเมื่อฝรั่งเศสคาดว่าลาวเต็มใจที่จะอยู่ในปกครองของตน ฝรั่งเศสก็ยิ่งคุกคามสยามหนักขึ้น แม้สยามจะเสนอให้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนให้ชัดเจนเรียบร้อยก่อน แต่ฝรั่งเศสก็หลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด
.
ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสจึงอยู่ในภาวะตึงเครียด มีการปะทะกันประปรายตามลำน้ำโขง และยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อฝรั่งเศสส่งกำลังทหารญวนและเขมรคืบคลานเข้ายึดดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งก็คือหัวเมืองลาวทั้งหมด สยามพยายามต่อสู้กับฝรั่งเศสด้วยวิธีสันติ เช่น ขอให้มีการเจรจาปักปันเขตแดนซึ่งขณะนั้นยังไม่เรียบร้อยตามมาตรฐานของอารยประเทศ เป็นการใช้วิธีทางการทูตนำการทหารซึ่งเป็นวิถีทางของประเทศที่เป็นอารยะ แต่ฝรั่งเศสก็ไม่ยอม คงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเจรจาด้วย และส่งทหารญวนเขมรเข้ายึดหัวเมืองลาว ไทยได้พยายามต่อสู้ป้องกันอาณาเขต แต่ก็ต้องพยายามระมัดระวังให้การสู้รบอยู่ในขอบเขตของการป้องกันตัว เพื่อที่จะได้มีโอกาสเจรจากับฝรั่งเศสได้ในยามจำเป็น แต่ฝรั่งเศสก็มุ่งแต่จะยึดครองลาวซึ่งเป็นเมืองขึ้นของสยามทั้งหมด
.
ในการปะทะกันครั้งหนึ่งที่เมืองคำม่วนและทุ่งเชียงคำ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ ฝรั่งเศสจับตัวพระยอดเมืองขวางเจ้าเมืองคำม่วน และในขณะที่กองทัพสยามยกไปช่วยพระยอดเมืองขวาง ปรากฏว่า นายโกรสกูแรง (Grosgurin) นายทหารฝรั่งเศสเกิดเสียชีวิตลง ฝรั่งเศสกล่าวหาว่านายโกรสกูแรงถูกฆาตกรรมและเรียกร้องให้ไทยลงโทษพระยอดเมืองขวาง ทำให้เหตุการณ์ทวีความตึงเครียดและคับขันขึ้น ในขณะเดียวกันทั้งกระทรวงอาณานิคม สื่อสารมวลชน และวงการศาสนาต่างสนับสนุนรัฐบาลฝรั่งเศสให้ใช้มาตรการรุนแรงกับไทย
.
จนในที่สุดผู้บังคับการเรือฝรั่งเศสได้นำเรือ ๒ ลำ คือ เรือปืนแองกองสตอง (Inconstant) และเรือโกแมต (Comete) พร้อมเรือนำร่องได้มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เมื่อแล่นผ่านป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพระยาชลยุทธโยธินทร์ได้ยิงเตือนแต่เรือรบฝรั่งเศสก็มิได้หยุดยั้ง จึงเกิดการยิงปะทะกันขึ้น ได้รับความเสียหายทั้ง ๒ ฝ่าย คือเรือนำร่องของฝรั่งเศสถูกยิงจม ส่วนเรือปืนมกุฎราชกุมารของสยามถูกยิงได้รับความเสียหาย เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าวิกฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ฝรั่งเศสใช้อำนาจที่ปราศจากทั้งเหตุผลและความเป็นธรรมต่อไป ด้วยการยื่นข้อเสนอเรียกร้องทั้งให้ไทยเพิกถอนสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงทั้งหมด ให้จัดการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ยิงเรือปืนฝรั่งเศส พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหายให้ฝรั่งเศสเป็นเงิน ๒ ล้านฟรังก์ และยังมีข้อกำชับทิ้งท้ายว่า “—ถ้าถูกโจมตี จะทำลายกองทัพเรือไทย ตลอดจนป้อมปราการ—”
.
เหตุการณ์ครั้งนั้นนำความทุกข์โศกโทมนัสมาสู่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุดครั้งหนึ่งในพระชนมชีพ ถึงแก่ทรงพระประชวร ทรงทอดอาลัยในพระชนมชีพมิยอมเสวยพระโอสถอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้ทรงจำเป็นต้องเก็บความเจ็บปวดและทุกข์โทมนัสไว้แต่ในพระราชหฤทัย และกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองต่อไป ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช ทรงพระราชปรารภถึงพระราชภาระที่ทรงต้องปฏิบัติต่อไปคือ “—ประสงค์แต่จะรักษาอำนาจ แลที่แผ่นดินอันปู่แลบิดาของเราได้ปกครองสืบๆ กันมาแล้วช้านาน มิให้ร่อยหรอเข้าไป และให้ไพร่บ้านพลเมืองของเราเป็นศุข ตลอดทั่วหน้าจนสุดกำลังที่จะทำได้—”
.
แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกที่ถูกมหาอำนาจกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรม ไม่มีความละอายละเลยต่อหลักการปฏิบัติของอารยประเทศ ดังที่ทรงกล่าวว่า “—เป็นความลำบากอย่างยิ่งแก่เมืองเราที่ฝรั่งเศสคิดแลทำการข่มขี่แสนสาหัสโดยปราศจากยุติธรรม อันเป็นการจำเป็นบีบรัดที่ให้เราป้องกันตัวโดยกำลังตามที่จะทำได้—” ในเวลานั้นทรงคิดถึงพระราชโอรสซึ่งเป็นความหวังแรกในอันที่จะกลับมาช่วยแบ่งเบาพระราชภาระของบ้านเมือง คือพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช เพราะเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาการทหารบกตามแบบอารยประเทศ ที่ประเทศเดนมาร์ก แต่ขณะนั้นทรงกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษา แม้จะทรงพระราชปราถนาให้พระราชโอรสได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ในเหตุการณ์นี้ แต่ก็ยังมิถึงเวลา ดังที่ทรงกล่าวว่า “—พ่อรู้ว่าเจ้าจะต้องอยู่อีกนาน จึงจะทำการได้ดีอย่างยิ่ง เว้นแต่ขอให้คิดสักหน่อยหนึ่งว่า เมืองเราต้องการคนที่รู้จริงในเวลานี้มากนัก—เรายังต้องการผู้ที่รู้วิชาชั้นสูงๆ ในการทหารทุกอย่าง—ความต้องการของเรานั้นเป็นการรีบร้อนยิ่งกว่าที่เจ้าจะคิดเห็น—”
.
ทุกข้อความที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาแสดงอย่างชัดเจนถึงพระราชหฤทัยที่ทรงว้าเหว่และว้าวุ่น เพราะเหตุการณ์คับขันขณะนั้น พระราชโอรสทุกพระองค์ยังทรงพระเยาว์ทรงอยู่ในระหว่างการศึกษาขั้นต้นหรือขั้นกลาง มีพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดชเพียงพระองค์เดียวที่ทรงเติบใหญ่ และร่ำเรียนวิชาการอันสามารถจะเป็นประโยชน์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงมีพระราชหฤทัยผูกพันระลึกถึงแต่ก็ทรงตระหนักดีว่า ยังไม่ถึงเวลาที่พระราชโอรสจะเสด็จกลับ ดังที่ทรงกล่าวว่า “—พ่อยังไม่ได้คิดจะเร่งให้กลับ เพราะเห็นว่าการที่เรียนอยู่ยังเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะกลับในเวลานี้ แต่เมื่อมีความว้าเหว่อย่างใดขึ้น ก็ย่อมนึกถึงอยู่ เมื่อคิดถึงการที่เก็บลูกไม้ดิบ ไม่ปล่อยให้สุกเสียก่อนเป็นอันเสียประโยชน์ ก็หายที่จะคิดเช่นนั้นไป—”
.
แม้เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จะผ่านพ้นไป แต่ยังคงมีปัญหาสืบเนื่องที่ต้องทรงแก้ไขอย่างหนัก คือข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ฝรั่งเศสต้องการให้สยามทำตาม ทำให้ต้องปลงพระราชหฤทัยกับดินแดนที่เสียไป ดังปรากฏข้อความในพระราชปรารภที่ว่า “—การเสียเขตแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักร ซึ่งเราเองก็ทำนุบำรุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน—” และในพระราชหัตถเลขาที่ว่า “—เป็นการจำเป็นที่เราต้องละวางเขตรแดน อันเราได้ปกปักรักษามาแล้วช้านานนับด้วยร้อยปี—”
.
จากพระราชดำริตัดพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอาณาเขตที่เสียไปนี้เอง ทำให้ทรงมีกำลังที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาอย่างหนักตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาราชอาณาเขตส่วนใหญ่มิให้ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าชาวตะวันตก ซึ่งทำให้สยามสามารถรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้
.
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 กุมภาพันธ์ 2561
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
ที่มาของรูป เฟซบุ๊ก เด็กภูมิ
ที่มาของรูป ทวิตเตอร์ kissza9
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
youtube เหล่เสียดินแดน 14 ครั้ง
โดย ทวี ไมตรีจิต
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
การเสียดินแดน 14 ครั้ง ของไทย ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อน​ #The​ History​
.
https://www.youtube.com/watch?v=9gE-Sp7tyZk
.
โพสโดย เรื่องเล่าสาระดี
20 มิ.ย. 2021
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.
#ไม่เคยนำปืนไปจ่อหัวบังคับใครให้กระทำ
#การกระทำเป็นการกระทำด้วยกายวาจาใจของตนเองทั้งสิ้น
.
.
.
#กระทำถูกกฎระเบียบหน่วยงานราชการและบริษัทแต่ผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี
#กระทำถูกต้องตามกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรมต้องไปใช้กรรมเสมอ
.
.
.
#ต่อให้ไปไหว้พระพุทธรูปทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้พระอริยสงฆ์ทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้เทวรูปเทวดาทั่วโลก
#ไม่มีใครช่วยให้หนีกรรมพ้น
.
.
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
.
.
.
#ต่อให้ใหญ่แค่ไหน
#ต่อให้รวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่เคยมีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องชดใช้กรรม
#บุพกรรมพระพุทธเจ้า
.
.
.&&&&&&&&&&&&&&&&&&.
.
.

2
.
.
.
สื่อต่างชาติบางสื่อ ให้ข้อมูลที่บิดเบือนเรื่องพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
.
คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
.
#อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
#อย่าตกเป็นเหยื่อต่างชาติ
.
คนต่างชาติ ไม่ต้องเข้ามา ส สระ เกือก เรื่องภายในของประเทศไทย
.
คนต่างชาติ เข้ามาปล้น เงินทอง และ แผ่นดินไทยไป ยังไม่มากพอ !!!!!
.
.
.***********************************.
.
.
โพสโดย ฤๅ - Lue History
ที่มาของคลิป ฤๅ - Lue History
7 กันยายน 2022
.
https://www.facebook.com/Lue.History.Thai/videos/409397137965462
.
แหล่งข้อมูลที่หลายคนมักจะเอามาอ้างแล้วกล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยคือกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก คือข้อมูลของ Forbes และ CEOWORLD ที่จัดอันดับให้พระมหากษัตริย์ไทยมีทรัพย์สินมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก เรียกได้ว่ารวยกว่าสุลต่านบรูไน หรือกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย เสียอีก
.
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่อง “โกหก” ไม่มีอ้างอิงที่ถูกต้อง และง่ายในการเผยแพร่รวมถึงกระจายไปในระบบออนไลน์
และถ้าใครอ่านแล้ว “เชื่อ” เลยโดยไม่คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะเข้าทางกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังที่คอยปล่อยข้อมูลบิดเบือนเหล่านี้ทันที เหมือนที่เรามักจะเห็นบางคนชอบไปโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเรื่องความร่ำรวยตามเพจต่างๆ แล้วหลับหูหลับตาโยนข้อมูลอันดับของ Forbes ขึ้นมา
.
เอาเป็นว่าลองไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ House Of Saud กันดีกว่า ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของ “ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย” ในเว็บไซต์เขาก็ระบุอยู่ว่า ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียมีรายได้จากการขายน้ำมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา มูลค่ามากกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ แค่นี้ก็ชัดแล้วครับว่ากษัตริย์ของประเทศไหนร่ำรวยที่สุดในโลก
.
แบบนี้แล้วยังจะเชื่อ Forbes และ CEOWORLD กันอยู่อีกเหรอครับ ?
.
ยังมีข้อมูลบิดเบือนอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินส่วนที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่มีคนพยายามบิดเบือนว่าเป็นเงินของแผ่นดิน หรือเรื่องที่มีคนพยายามโจมตีว่าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย
.
ในคลิปวิดีโอนี้มีข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง และตัวเลขจริงมาเปรียบเทียบกันให้เห็นชัดๆ เลยว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นการใช้เงินฟุ่มเฟือยจริงหรือเปล่า และทรัพย์สินที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นเงินของแผ่นดินจริงหรือไม่
.
ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน และสามารถสืบค้นได้ทั่วไป ซึ่งเราอยากให้ทุกคนได้รับรู้และวิเคราะห์กันดู ที่เหลือก็ลองชั่งน้ำหนักกันเอาเองครับว่าจะยังคงเชื่อ Forbes และ CEOWORLD อยู่อีกหรือเปล่า
.
.
.

3
.
.
ด่วน "เอลนีโญ" ใกล้เริ่มแล้ว - เปิดทางรอดจากอันตรายเกินคาด | TNN ข่าวเย็น | 20-05-23
.
https://www.youtube.com/watch?v=6trjhfbT67I
.
.
TNN Online
20 พ.ค. 2023
.
.

4
ศีลเจพรต / ทฤษฎีลิง 3 ตัว ของขงจื้อ
« เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2023, 09:32:17 pm »
.
.
.
ทฤษฎีลิง 3 ตัว ของขงจื้อ
.
โพสโดย tonklaarcheep
ที่มา เว็บไซด์ oknation
.
.
สาระสำคัญ ทฤษฎีลิง 3 ตัวนี้ เป็นทฤษฎีของนักปราชญ์ชาวจีน โดยมีความเชื่อว่าการเป็นผู้บริหารที่ดีนั้น ต้องรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสัญลักษณ์ของลิงทั้ง 3 ตัวนี้มีลักษณะแตกต่างกัน ก็เปรียบเสมือนกับคนเราย่อมแตกต่างกัน ลิงตัวเดียวไม่สามารถปิดหู ปิดตา ปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน เพราะมีมือเพียงสองมือเท่านั้น มนุษย์ก็เช่นกันไม่สามารถทำอะไรในเวลาเดียวกันได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรจะเลือกนำมาใช้ว่าสถานการณ์ใดควรใช้แบบใด
.
.
ทฤษฎีลิง 3 ตัว มีรายละเอียด ดังนี้
.
.
ลิงตัวที่ 1 นั่งปิดหูหนึ่งหู ก็หมายความว่า คนเราควรจะรู้จักควบคุมว่าอะไรที่ควรฟังหรือไม่ควรฟัง ต้องแยกแยะในสิ่งที่ฟังมา ต้องฟังหูไว้หู แล้วนำสิ่งที่ฟังมาวิเคราะห์ว่ามันเป็นอย่างไร โดยใช้หลักการและเหตุผลมาประกอบเข้าด้วยกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่เราฟังทั้งหมด เพราะมันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้
.
.
ลิงตัวที่ 2 นั่งปิดตาหนึ่งตา ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการมองว่าอะไรควรมองหรือไม่ควรมอง อย่าเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็นทั้งหมด เพราะบางครั้งสิ่งที่เรามองเห็นก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด มองแล้วพิจารณาไตร่ตรอง อย่าตัดสินคนทันทีที่เห็น
.
.
ลิงตัวที่ 3 นั่งปิดปากครึ่งปาก ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการพูดว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูดอย่างไร การเป็นผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ควรจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เพราะบางครั้งคำพูดของเราอาจจะไปกระทบกับบุคคลอื่นโดยไม่รู้ตัว หรืออาจจะนำความเสียหายมาสู่องค์การได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรก็ควรจะคิด และพิจารณาให้ดีก่อนที่จะพูดออกไป...
.
.
.
.**********************************.
.
.
ทฤษฎีลิง 3 ตัว .........ของขงจื้อ
.
.
โพสโดย ณัฐชญา หอมกลิ่น
โพสต์เมื่อวันที่ : 21 ก.ย. 2552
.
.
สาระสำคัญ ทฤษฎีลิง 3 ตัวนี้เป็นทฤษฎีของนักปราชญ์ชาวจีน โดยมีความเชื่อว่าการเป็นผู้บริหารที่ดีนั้น ต้องรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสัญลักษณ์ของลิงทั้ง 3 ตัวนี้มีลักษณะแตกต่างกัน ก็เปรียบเสมือนกับคนเราย่อมแตกต่างกัน ลิงตัวเดียวไม่สามารถปิดหู ปิดตา ปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน เพราะมีมือเพียงสองมือเท่านั้น มนุษย์ก็เช่นกันไม่สามารถทำอะไรในเวลาเดียวกันได้ทุก อย่าง เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรจะเลือกนำมาใช้ว่าสถานการณ์ใดควรใช้แบบใด
.
.
ทฤษฎีลิง 3 ตัว มีรายละเอียด ดังนี้
.
.
  ลิงตัวที่ 1 นั่งปิดหูหนึ่งหู ก็หมายความว่า คนเราควรจะรู้จักควบคุมว่าอะไรที่ควรฟังหรือไม่ควรฟั ง ต้องแยกแยะในสิ่งที่ฟังมา ต้องฟังหูไว้หู แล้วนำสิ่งที่ฟังมาวิเคราะห์ว่ามันเป็นอย่างไร โดยใช้หลักการและเหตุผลมาประกอบเข้าด้วยกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่เราฟังทั้งหมด เพราะมันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้
.
.
  ลิงตัวที่ 2 นั่งปิดตาหนึ่งตา ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการมองว่าอะไรควรมองหรือไม่ควรมอง อย่างเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็นทั้งหมด เพราะบางครั้งสิ่งที่เรามองเห็นก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั ้งหมด มองแล้วพิจารณาไตร่ตรอง อย่าตัดสินคนทันทีที่เห็น
.
.
  ลิงตัวที่ 3 นั่งปิดปากครึ่งปาก ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการพูดว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูดอย่างไร การเป็นผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ควรจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เพราะบางครั้งคำพูดของเราอาจจะไปกระทบกับบุคคลอื่นโด ยไม่รู้ตัว หรืออาจจะนำความเสียหายมาสู่องค์กรได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรก็ควรจะคิด และพิจารณาให้ดีก่อนที่จะพูดออกไป .
.
.
.
.**********************************.
.
.
ที่มาของรูป TOJO NEWS
ที่มาของรูป พี่คนดี (P.Khondee)
.
.
หมายเหตุ รูปประกอบ ไม่ตรงกับคำอธิบายในเนื้อเรื่อง เนื่องจากในรูป ลิง 3 ตัว ใช้ 2 มือ ปิด 2 หู , ใช้ 2 มือ ปิด 2 ตา และ ใช้ 2 มือ ปิดปาก ครับ
.
.
.

5
.
.
ช่วงงานสงกรานต์ในปีนี้ (ปี 2566)
การเดินทางของหลายๆท่าน มีการเดินทางกลับไปภูมิลำเนาของตนเอง
เดินทางกันด้วยความระมัดระวังกัน
เตรียมความพร้อมของร่างกาย ให้พร้อมกับการเดินทางไกล
พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนออกเดินทาง
.
หากท่านใดขับรถยนต์ส่วนตัวไปเอง #เมาไม่ขับ ครับ
แสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
.
หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
ย้ำว่า ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
.
ลองใช้สมองคิดดูครับ  ถ้าหัดใช้สมองคิด จะทราบถึงเหตุและผลที่จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ย้ำอีกรอบ
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ฝากไว้ให้คิด ????????????????????????????????????????
.
.
.*******************************************.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง เมาแล้วขับ
.
กฎหมายน่ารู้ ตอนที่ 415 : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
.
ที่มา moj (เว็บไซด์กระทรวงยุติธรรม)
10 มี.ค. 2566 เวลา 15:24 น.
ที่มาของรูป moj
.
.
ชื่อตอน : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
       เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ คือ
.
1) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
3) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
4) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ถือว่าเมาแล้วขับ
.
       หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
.
       ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
.
       สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้
.
- เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี/1 มาตรา 160ตรี/2 และมาตรา 160 ตรี/3
.
ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 มาตรา 160 มาตรา 160 ตรีกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ข้อ 3 (1)
.
.
.
.
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566
.
.
ที่มา tidlor (เว็บไซด์เงินติดล้อ)
.
.
มาแล้วขับถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนนซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่ามีคดีความเมาแล้วขับเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในเทศกาล เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือวันเฉลิมฉลองอื่น ๆ เพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ขาดสติ หลายคนจึงสงสัยว่า ในกรณีที่เมาแล้วขับประกันรถจะจ่ายไหม มีค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้งาน  ต้องเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงจะเป็นคนขาดสติ ซึ่งในบทความนี้มีคำตอบมาให้คุณแล้วครับ
.
เมาแล้วขับเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถือว่าขาดสติ
กฎกระทรวงฉบับเก่า ระบุว่า หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุราตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 16 พ.ศ.2537 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 3 แต่กฎกระทรวงที่ว่านี้ได้เปลี่ยนเนื้อความเป็นกฎหมายฉบับใหม่พร้อมรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย
.
กฎกระทรวงฉบับที่  21 พ.ศ.2550 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ระบุว่า ระบุว่า ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา ยกเว้นผู้ขับขี่ใน 4 กรณีต่อไปนี้ ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา คือ
.

    ผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว (ใบขับขี่อนุญาตแบบ 2 ปี)
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ประเภทอื่น ซึ่งใช้แทนกันไม่ได้
    ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิกใบขับขี่ หรืออยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

.
ถึงแม้กฎหมายจราจรเมาแล้วขับฉบับใหม่จะระบุเอาไว้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัม แต่จริง ๆ แล้วการมีสติที่ครบถ้วน ไม่ดื่มเหล้าก่อนขับนั้นปลอดภัยที่สุด หากรถทุกคันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566  แน่นอนว่าอุบัติเหตุเรื่องเมาแล้วขับจะลดน้อยลงมาก ๆ เลยครับ
.
ค่าปรับเมาแล้วขับเสียเงินกี่บาท มีโทษตามกฎหมายอะไรบ้าง?​
ถึงแม้ว่าวิจัยเรื่อง “ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขับรถโดยไม่ผิดกฎหมาย” ระบุเอาไว้ว่า  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 ดีกรี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (เทียบเท่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 กระป๋อง) ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าอยากขับขี่ให้ปลอดภัยที่สุดคือการเลือกเมาแล้วไม่ขับ
.
หากคุณไม่ทำตามกฎหมายจราจรจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนหรือคนอื่น ๆ ต้องมีโทษตามมา โดยเงินติดล้อจะแบ่งค่าปรับเมาแล้วขับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (1) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ (2) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566

    เมาแล้วขับครั้งที่ 1 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับครั้งที่ 2 โดยเกิดขึ้นภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ ปรับ 50,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักอนุญาตใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

.
เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ มีอัตราโทษอะไร เสียค่าปรับเท่าไหร่

    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ทันที

.
และนี่คือ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 หรือกฎหมายจราจรฉบับใหม่ ที่เพิ่มเรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 ลงไปในกฎหมายจราจร เมื่ออ่านดูแล้วมีโทษและค่าปรับที่หนักหนาสาหัสมาก ทางที่ดีไม่เมาแล้วขับจะดีที่สุด ถึงแม้จะเสียเงินค่าปรับไหว แต่สิ่งที่เสียไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้คือชีวิตเลยนะครับ
.
ถ้าเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ ขอเคลมประกันรถยนต์ได้ไหม
.
เรื่องนี้ต้องแบ่งคำตอบออกเป็น 2 ข้อ เพราะประกันรถยนต์มีทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+) แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าถามว่าเมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม ขอเคลมประกันรถยนต์ได้หรือเปล่า ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้
.
เมาแล้วขับ พ.ร.บ.รถยนต์ คุ้มครองไหม จ่ายค่าเสียหายให้หรือเปล่า
.
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่คุ้มครองครับ
.
เมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม คุ้มครองใครบ้าง?
.
ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไปอีกด้วย
.
สรุป
.
และนี่คือสิ่งที่ต้องได้รับโทษและเสียค่าปรับหากเมาแล้วขับรถ ซึ่งการจะเรียกว่าเมาแล้วขับได้คือคุณได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดแล้วมีค่าสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายจราจรฉบับใหม่เรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 เพิ่มมา ต้องเสียค่าปรับมากขึ้นและมีโทษจำคุกที่นานขึ้น แถมประกันรถยนต์ภาคสมัครใจไม่คุ้มครองกรณีเมาแล้วขับอีกด้วย แต่ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์) จะคุ้มครองโดยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่พิสูจน์ความถูกผิด แต่ถึงอย่างนั้นการเมาไม่ขับดีที่สุดครับ!
.
.
.*******************************************.
.
.
10 จุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกลง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
.
ที่มา bridgestone (เว็บไซด์ บริดจสโตน )
.
.
ผู้ขับขี่ควรเช็กสภาพรถยนต์ของตนเองก่อนออกเดินทางไกล เพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นในการเดินทาง ไม่ต้องประสบกับปัญหารถเสียระหว่างทาง โดยเฉพาะหากต้องเดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงฤดูฝนที่มักจะเจอกับเหตุการณ์ฝนตกหนัก ถนนลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้คุณสามารถเช็กรถยนต์ด้วยตัวเองเราจึงได้รวม 5 จุดสำคัญที่ควรเช็กภายในรถก่อนเดินทางไกลมาแนะนำ
.
1. แบตเตอรี่รถยนต์
.
ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรจะดูว่า ขั้วแบตและฉนวนสายไฟมีการเชื่อมต่อดีหรือไม่ หมั่นตรวจเช็กทำความสะอาดคราบขี้เกลือบริเวณขั้วแบตเตอรี่ และเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ
.
2. ยางรถยนต์ และช่วงล่างของรถ
.
เป็นอีกหนึ่งข้อที่ขาดไม่ได้ในการตรวจสภาพรถยนต์ คือ การตรวจสอบยางรถยนต์ หากไม่มีการเช็กยางรถยนต์ก่อนเดินทางไกล โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะยิ่งสูงขึ้น
.
โดยตรวจเช็กความลึกร่องดอกยางและตรวจดูว่ายางรถมีรอยเจาะ ยางแตกลายงา ยางบวม ดอกยางหมดหรือไม่ ซึ่งร่องดอกยางควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 1.6  มิลลิเมตร หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็ควรพิจารณาเปลี่ยนยางใหม่  นอกจากนี้ ควรตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างด้วย เช่น ลูกหมาก โช้ครถ เป็นต้น
.
3. น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และระบบเบรก
.
นับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งเวลาขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น การควบคุมรถจะยากกว่าปกติ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรก และน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และอย่าลืมเช็กน้ำมันเบรก ผ้าเบรกรวมถึงระบบเบรกว่ามีความผิดปกติหรือไม่  หากน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับ Min หรือมีการลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดการรั่วในระบบเบรก ควรนำรถเข้าตรวจเช็กโดยช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย
.
4. เช็กหม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น
.
การขับรถระยะไกล ทำให้เครื่องยนต์สะสมความร้อนปริมาณมาก หากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อค
.
แนะนำว่าก่อนออกเดินทางควรเช็กระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพัก และหม้อน้ำ รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ มอเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย หากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ศูนย์บริการค็อกพิทใกล้บ้านท่านเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ
.
5. ระบบไฟส่องสว่าง
.
ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ควรใช้งานได้ตามปกติ ส่องสว่างได้ดี เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถในเวลากลางคืนหรือ ตรวจสอบไฟรถแล้วก็อย่าลืมเช็กใบปัดน้ำฝนดูด้วยล่ะว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่
.
6. ที่ปัดน้ำฝน
.
ที่ปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ถูกมองข้ามเมื่อพูดถึงการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ในความเป็นจริงแล้วทัศนวิสัยขณะขับรถ คือหัวใจสำคัญของความปลอดภัย ที่ปัดน้ำฝนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในระหว่างการเดินทางฝนจะตกหรือไม่
.
ดังนั้น อย่าลืมเช็กว่าที่ปัดน้ำฝนรีดน้ำได้ดี มีอาการเปื่อย ยุ่ย หรือเสื่อมสภาพหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวควรเปลี่ยนใหม่ทันที หรือควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนทุก ๆ 6-12 เดือน
.
7. น้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์
.
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การจอดรถบนทางราบและใส่เบรกมือ จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไล่ไปตั้งแต่ P จนถึง L เมื่อเปลี่ยนเกียร์ควรค้างไว้ที่ตำแหน่งนั้น ๆ สักครู่ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเกียร์ถัดไป
.
เมื่อครบทุกเกียร์แล้วจึงเลื่อนมาเป็นเกียร์ P หรือ N และดึงก้านวัดระดับเกียร์ออกมาทำความสะอาด จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่ ให้สังเกตดูว่าระดับน้ำมันที่ติดออกมาอยู่ตรงตำแหน่งไหน หากยังอยู่ตรง H แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติปกติ หรืออยู่ระหว่างกลาง Min กับ Max แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ธรรมดาปกติ หากน้ำมันคลัตช์หายมากจนผิดปกติ แนะนำให้รีบหาสาเหตุ หรือนำรถไปเช็กและแก้ไขทันที
.
8. แผ่นกรองอากาศ
.
แผ่นกรองอากาศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องรถจากสิ่งไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ภายนอก โดยแผ่นกรองอากาศที่อุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอได้ การตรวจสอบแผ่นกรองอากาศใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงเปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจดู ทำการดูดสิ่งสกปรกออก หรือจะเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ในกรณีที่จำเป็น
.
9. ระบบแตรรถยนต์
.
เมื่อพูดถึงจุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกล คนส่วนใหญ่มักไม่คิดว่าจะต้องตรวจระบบแตรด้วย ในความเป็นจริงแล้วแตรรถมีความสำคัญอย่างมาก เพราะในขณะขับขี่เราอาจจำเป็นต้องใช้แตรเพื่อสื่อสารและส่งสัญญาณกับรถคันอื่น ดังนั้น อย่าลืมเช็กระบบแตรว่ายังเสียงดังและลมแตรยังดีอยู่หรือไม่ด้วย
.
10. แผงควบคุมและหน้าปัด
.
เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ควรตรวจสอบแผงควบคุมและหน้าปัดภายในรถว่าทำงานปกติหรือไม่ แสงไฟ ตัวเลขบนหน้าปัดและปุ่มควบคุมต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเปล่า เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ระยะไกล
.
.
นอกจาก 10 จุดสำคัญข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรหลงลืมเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางไกลในฤดูฝน นั่นคืออุปกรณ์และเครื่องมือต่างที่จำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน อาทิ ยางอะไหล่ สเปรย์ปะยาง แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบตเตอรี่ พกติดรถเอาไว้ให้อุ่นใจ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
.
.
.*******************************************.
.
.
ที่มาของคลิปทั้งหมด
.
.
เริ่มใช้วันนี้! 'กฎหมายจราจรฉบับใหม่' มีผลบังคับใช้ 5 ก.ย. เพิ่มโทษ ปรับหนัก
.
https://www.youtube.com/watch?v=8FdLnc9nKPQ
.
ที่มา เรื่องเล่าเช้านี้
5 ก.ย. 2022
.
.
เริ่มแล้ว! กฎหมายจราจรใหม่ เมาแล้วขับซ้ำปรับโหด 1 แสน
.
https://www.youtube.com/watch?v=8mA8RxhOIzU
.
ที่มา CH7HD News
5 ก.ย. 2022
.
.
นักดื่ม ระวัง ! กฎหมาย "เมาแล้วขับ" เพิ่มโทษ ทำผิดซ้ำซากภายใน 2 ปีเจอโทษหนัก
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=RHRps2SBoXE
.
ที่มา CH7HD News
25 ธ.ค. 2022
.
.
.

6
.
.
ระวัง 5 โรคร้ายจากฝุ่น PM 2.5
.
– ความรุนแรงของ PM 2.5 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย
และทำลายระบบอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคเรื้อรังและมะเร็ง สามารถก่อให้เกิดโรคอะไรบ้าง?
.
1. โรคระบบทางเดินหายใจ
ทำให้ปอดเกิดการอักเสบ ระคายเคือง และเป็นโรคระบบทางเดินหายใจได้
.
2. โรคถุงลมโป่งพอง
อาจทำให้เกิดมะเร็งปอด (แม้ไม่ได้สูบบุหรี่)
.
3. โรคผิวหนัง
ทำให้ผิวหนังอักเสบ และเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
.
4 โรคหัวใจและหลอดเลือด
การสูดฝุ่นเข้าไปมากๆ ทำให้เลือดข้นได้ และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
.
5 โรคเยื่อบุตาอักเสบ
ทำให้ระคายเคือง อักเสบ ตาแห้ง ตาแดง แสบตา คันตา
.
การป้องกันและดูแลตนเอง
–  สวมหน้ากาก ป้องกันฝุ่น PM 2.5
– นอนหลับให้เพียงพอ และ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
– งดกิจกรรมกลางแจ้ง
– หากเกิดความผิดปกติกับร่างกาย ควรพบแพทย์
– ติดตามการเฝ้าระวังดัชนีคุณภาพอากาศ
.
: ด้วยความห่วงใย จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ขอขอบคุณข้อมูล จาก : กรมควบคุมโรค

#PM25
#MedCMU #MedCMUในมือคุณ
#คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
#สื่อสารองค์กรMedCMU
.
.

7
.
.
เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ
.
.
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
.
๖. เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ [๑๐๐]       
.     
               ข้อความเบื้องต้น
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ (เศรษฐีตีนแมว) ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส" เป็นต้น.
.
               ให้ทานเองและชวนคนอื่น ได้สมบัติ ๒ อย่าง                             
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง ชาวเมืองสาวัตถีพากันถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน โดยเนื่องเป็นพวกเดียวกัน. อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสดา เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา ตรัสอย่างนี้ว่า
.
               "อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานด้วยตน (แต่) ไม่ชักชวนผู้อื่น, เขาย่อมได้โภคสมบัติ (แต่) ไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ, บางคนไม่ให้ทานด้วยตน ชักชวนแต่คนอื่น, เขาย่อมได้บริวารสมบัติ (แต่) ไม่ได้โภคสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ; บางคนไม่ให้ทานด้วยตนด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมไม่ได้โภคสมบัติไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ; เป็นคนเที่ยวกินเดน บางคนให้ทานด้วยตนด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ."
.
               บัณฑิตเรี่ยไรของทำบุญ
.
ครั้งนั้น บัณฑิตบุรุษผู้หนึ่งฟังธรรมเทศนานั้นแล้ว คิดว่า "โอ! เหตุนี้น่าอัศจรรย์ บัดนี้ เราจักทำกรรมที่เป็นไปเพื่อสมบัติทั้งสอง" จึงกราบทูลพระศาสดาในเวลาเสด็จลุกไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาของพวกข้าพระองค์."
.
               พระศาสดา. ก็ท่านมีความต้องการด้วยภิกษุสักเท่าไร ?
.
               บุรุษ. ภิกษุทั้งหมด พระเจ้าข้า.
.
               พระศาสดาทรงรับแล้ว.
.
               แม้เขาก็เข้าไปยังบ้าน เที่ยวป่าวร้องว่า "ข้าแต่แม่และพ่อทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้, ผู้ใดอาจถวายแก่ภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่าใด, ผู้นั้นจงให้วัตถุต่างๆ มีข้าวสารเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่อาหารมียาคูเป็นต้น เพื่อภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านั้น, พวกเราจักให้หุงต้มในที่แห่งเดียวกันแล้วถวายทาน"
.
               เหตุที่เศรษฐีมีชื่อว่าพิฬาลปทกะ                             
.
ทีนั้น เศรษฐีคนหนึ่งเห็นบุรุษนั้นมาถึงประตูร้านตลาดของตน ก็โกรธว่า "เจ้าคนนี้ ไม่นิมนต์ภิกษุแต่พอ (กำลัง) ของตน ต้องมาเที่ยวชักชวนชาวบ้านทั้งหมด (อีก)" จึงบอกว่า "แกจงนำเอาภาชนะที่แกถือมา" ดังนี้แล้ว เอานิ้วมือ ๓ นิ้วหยิบ ได้ให้ข้าวสารหน่อยหนึ่ง ถั่วเขียว ถั่วราชมาษก็เหมือนกันแล.
.
               ตั้งแต่นั้น เศรษฐีนั้นจึงมีชื่อว่าพิฬาลปทกเศรษฐี. แม้เมื่อจะให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็เอียงปากขวดเข้าที่หม้อ ทำให้ปากขวดนั้นติดเป็นอันเดียวกัน ให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้นไหลลงทีละหยดๆ ได้ให้หน่อยหนึ่งเท่านั้น.
.
               อุบาสกทำวัตถุทานที่คนอื่นให้โดยรวมกัน (แต่) ได้ถือเอาสิ่งของที่เศรษฐีนี้ให้ไว้แผนกหนึ่งต่างหาก.
.
               เศรษฐีให้คนสนิทไปดูการทำของบุรุษผู้เรี่ยไร                             
.
เศรษฐีนั้นเห็นกิริยาของอุบาสกนั้นแล้ว คิดว่า "ทำไมหนอ เจ้าคนนี้จึงรับสิ่งของที่เราให้ไว้แผนกหนึ่ง?" จึงส่งจูฬุปัฏฐากคนหนึ่งไปข้างหลังเขา ด้วยสั่งว่า "เจ้าจงไป จงรู้กรรมที่เจ้านั่นทำ" อุบาสกนั้นไปแล้ว กล่าวว่า "ขอผลใหญ่จงมีแก่เศรษฐี." ดังนี้แล้วใส่ข้าวสาร ๑-๒ เมล็ด เพื่อประโยชน์แก่ยาคู ภัตและขนม ใส่ถั่วเขียวถั่วราชมาษบ้าง หยาดน้ำมันและหยาดน้ำอ้อยเป็นต้นบ้าง ลงในภาชนะทุกๆ ภาชนะ.
.
               จูฬุปัฏฐากไปบอกแก่เศรษฐีแล้ว.
.
               เศรษฐีฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า "หากเจ้าคนนั้นจักกล่าวโทษเราในท่ามกลางบริษัทไซร้ พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นเท่านั้น เราจักประหารมันให้ตาย." ในวันรุ่งขึ้น จึงเหน็บกฤชไว้ในระหว่างผ้านุ่งแล้ว ได้ไปยืนอยู่ที่โรงครัว.
.
               ฉลาดพูดทำให้ผู้มุ่งร้ายกลับอ่อนน้อม                             
.
บุรุษนั้นเลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ชักชวนมหาชนถวายทานนี้ พวกมนุษย์ข้าพระองค์ชักชวนแล้วในที่นั้น ได้ให้ข้าวสารเป็นต้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังของตน ขอผลอันไพศาลจงมีแก่มหาชนเหล่านั้นทั้งหมด."
.
               เศรษฐีได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า "เรามาด้วยตั้งใจว่า ‘พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นว่า เศรษฐีชื่อโน้นถือเอาข้าวสารเป็นต้นด้วยหยิบมือให้, เราก็จักฆ่าบุรุษนี้ให้ตาย’, แต่บุรุษนี้ทำทานให้รวมกันทั้งหมด แล้วกล่าวว่า ‘ทานที่ชนเหล่าใดตวงด้วยทะนานเป็นต้นแล้วให้ก็ดี, ทานที่ชนเหล่าใดถือเอาด้วยหยิบมือแล้วให้ก็ดี, ขอผลอันไพศาล จงมีแก่ชนเหล่านั้นทั้งหมด’, ถ้าเราจักไม่ให้บุรุษเห็นปานนี้อดโทษไซร้, อาชญาของเทพเจ้าจักตกลงบนศีรษะของเรา."
.
               เศรษฐีนั้นหมอบลงแทบเท้าของอุบาสกนั้นแล้วกล่าวว่า "นาย ขอนายจงอดโทษให้ผมด้วย" และถูกอุบาสกนั้นถามว่า "นี้อะไรกัน?" จึงบอกเรื่องนั้นทั้งหมด.
.
               พระศาสดาทรงเห็นกิริยานั้นแล้ว ตรัสถามผู้ขวนขวายในทานว่า "นี่อะไรกัน ?"
.
               เขากราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่แล้วๆ มา.
.
               อย่าดูหมิ่นบุญว่านิดหน่อย                             
.
ทีนั้น พระศาสดาตรัสถามเศรษฐีนั้นว่า "นัยว่า เป็นอย่างนั้นหรือ? เศรษฐี." เมื่อเขากราบทูลว่า "อย่างนั้น พระเจ้าข้า."
.
               ตรัสว่า "อุบาสก ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่า ‘นิดหน่อย,’ อันบุคคลถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเช่นเราเป็นประธานแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นว่า ‘เป็นของนิดหน่อย’ ด้วยว่า บุรุษผู้บัณฑิตทำบุญอยู่ย่อมเต็มไปด้วยบุญโดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปากย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น." ดังนี้แล้ว
.
               เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
               ๖.  มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส     น มตฺตํ อาคมิสฺสติ     
                อุทพินฺทุนิปาเตน     อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
                อาปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส     โถกํ โถกํปิ อาจินํ.
                บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่า ‘บุญมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง’
                แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาดๆ) ได้ฉันใด,
                ธีรชน (ชนผู้มีปัญญา) สั่งสมบุญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ฉันนั้น.
.
.
               แก้อรรถ                             
.
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
.
               "มนุษย์ผู้บัณฑิต ทำบุญแล้วอย่าดูหมิ่น คือไม่ควรดูถูกบุญ อย่างนี้ว่า ‘เราทำบุญมีประมาณน้อย บุญมีประมาณน้อยจักมาถึง ด้วยอำนาจแห่งวิบากก็หาไม่. เมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมนิดหน่อยจักเห็นเราที่ไหน? หรือว่าเราจักเห็นกรรมนั้นที่ไหน? เมื่อไรบุญนั่นจักเผล็ดผล?’
.
               เหมือนอย่างว่า ภาชนะดินที่เขาเปิดฝาตั้งไว้ ย่อมเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาดๆ) ไม่ขาดสายได้ฉันใด, ธีรชน คือบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อสั่งสมบุญทีละน้อยๆ ชื่อว่าเต็มด้วยบุญได้ ฉันนั้น."
.
               ในกาลจบเทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
.
               พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทที่มาประชุมกัน ดังนี้แล.
.
               เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ จบ.               
.
.

8
.
ผมนำมาลงอีกครั้ง  เรื่องของกรรม  เรื่องของการให้ผลของกรรม
ไม่ว่าท่านเป็นใครก็ตาม หากกระทำผิดกฎแห่งกรรม  ท่านก็ไม่พ้นต้องไปรับผลของกรรม
ยกเว้นกรรมนั้นที่กลายเป็นอโหสิกรรม
.
แต่ไม่มีใครตอบได้ว่า กรรมที่ท่านสร้างไว้ เมื่อท่านขออโหสิกรรมแล้ว  ผลของกรรมนั้นจะเป็นอโหสิกรรม
.
เพราะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องชดใช้กรรมของพระองค์ท่าน
.
เพิ่มเติม ก็คือ นอกเหนือเรื่องของกรรมแล้ว  ต้องระมัดระวัง กาย วาจา และ ใจ ของตัวท่านเอง 
อย่าไป ต่อตีนโจร ใคร  ไม่อย่างนั้น ก็ต้องไปรับผลกรรมร่วมกัน
.
.
.********************************************.
.
.
การให้ผลของกรรม กรรมสูตรที่ ๑
.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
กรรมสูตรที่ ๑
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
.
            [๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ) ในอัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ) หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ) ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ในข้อนั้น ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นแห่งโทษการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ผู้หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิตทั้งปวง ๑ เป็นผู้ลักทรัพย์ คือถือเอาวัตถุอันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย ๑ เป็นผู้ประพฤติผิดในกามคือ เป็นผู้ประพฤติล่วงในสตรีที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษาพี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา ธรรมรักษา ผู้มีสามี ผู้มีอาชญาโดยรอบโดยที่สุดแม้สตรีผู้มีบุรุษคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้พูดเท็จ คือ เขาอยู่ในสภา ในบริษัทในท่ามกลางญาติ ในท่ามกลางเสนา หรือในท่ามกลางแห่งราชสกุล ถูกผู้อื่นนำไปเป็นพยานซักถามว่า มาเถิดบุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใดจงพูดสิ่งนั้น บุคคลนั้นเมื่อไม่รู้กล่าวว่ารู้ หรือเมื่อรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็นหรือเมื่อเห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้ เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง เพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยบ้าง ด้วยประการดังนี้ ๑ เป็นผู้พูดส่อเสียด คือ ฟังข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังข้างโน้นแล้วมาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น ยุยงคนทั้งหลายผู้สามัคคีกันให้แตกกัน หรือส่งเสริมคนทั้งหลายผู้แตกกันแล้ว ชอบความแยกกัน ยินดีความแยกกัน เพลิดเพลินในความแยกกันกล่าวแต่คำที่ทำให้แยกกัน ๑ เป็นผู้พูดคำหยาบ คือ กล่าววาจาที่หยาบคายกล้าแข็ง เดือดร้อนผู้อื่น เสียดสีผู้อื่น ใกล้ต่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ ๑ เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ คือ กล่าวไม่ถูกกาล กล่าวไม่จริง กล่าวไม่อิงอรรถ ไม่อิงธรรม ไม่อิงวินัย กล่าววาจาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันไม่ควร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น คือ อยากได้วัตถุอันเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นว่า ไฉนหนอวัตถุ อันเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นพึงเป็นของเรา ดังนี้ ๑ เป็นผู้มีจิตคิดปองร้าย คือ มีความดำริในใจอันชั่วร้ายว่า ขอสัตว์เหล่านี้ จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ หรืออย่าได้เป็นแล้ว ดังนี้ ๑ เป็นผู้มีความเห็นผิดคือ มีความเห็นอันวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่ว ไม่มี โลกนี้ ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณ*พราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และปรโลกให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดังนี้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่างอันมีความตั้งใจเป็นอกุศล เพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นอกุศล หรือเพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นอกุศล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วมณี ๔ เหลี่ยมที่บุคคลโยนขึ้นข้างบน ตกลงมาทางเหลี่ยมใดๆ ก็ย่อมตั้งอยู่ตามเหลี่ยมที่ตั้งลงมานั้นนั่นเองฉันใด สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นอกุศล เพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นอกุศล หรือเพราะเหตุแห่งความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นอกุศล ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
.
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ก็วิบากนั้นแลย่อมเกิดในปัจจุบัน ในอัตภาพถัดไปหรือในอัตภาพต่อๆ ไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวการทำที่สุดทุกข์แห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้นสมบัติแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบาก สมบัติแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง มีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก สมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมบัติแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ๑ ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ถือเอาวัตถุเป็นอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่น อันอยู่ในบ้าน หรืออยู่ในป่า ที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยจิตเป็นขโมย ๑ ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม ไม่ถึงความประพฤติล่วงในสตรีที่มารดารักษา บิดารักษา พี่ชายน้องชายรักษา พี่สาวน้องสาวรักษา ญาติรักษา ธรรมรักษา มีสามี มีอาชญาโดยรอบโดยที่สุดแม้สตรีที่บุรุษคล้องแล้วด้วยพวงมาลัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมบัติแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบากอย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมบัติแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลบางคนในโลกนี้ ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ เขาอยู่ในสภาในบริษัท ในท่ามกลางญาติ ในท่ามกลางอำมาตย์ หรือในท่ามกลางราชสกุลถูกผู้อื่นนำไปเป็นพยานซักถามว่า มาเถิดบุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใดจงกล่าวสิ่งนั้นบุคคลนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หรือเมื่อรู้ก็บอกว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็นหรือเมื่อเห็นก็บอกว่าเห็น ไม่เป็นผู้พูดเท็จทั้งรู้ เพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสเล็กน้อยบ้าง ๑ ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ไม่ฟังข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น เป็นผู้สมานคนที่แตกกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่สามัคคีกันแล้ว ชอบคนที่พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าววาจาที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน ๑ ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ ๑ ละคำเพ้อเจ้อเว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ อิงธรรมอิงวินัย พูดแต่คำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมบัติแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก อย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก อย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่อยากได้วัตถุอันเป็นอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นว่า ไฉนหนอ วัตถุที่เป็นอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นพึงเป็นของเรา ดังนี้ ๑ เป็นผู้ไม่มีจิตคิดปองร้าย ไม่มีความดำริในใจอันชั่วร้ายว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความมุ่งร้ายกัน ไม่มีทุกข์ มีสุขรักษาตนเถิด ดังนี้ ๑ เป็นผู้มีความเห็นชอบมีความเห็นไม่วิปริตว่าทานที่ให้แล้วมีผล การเซ่นสรวงมีผล การบูชามีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่ โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่บิดามีอยู่ สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามมีอยู่ในโลก ดังนี้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบากอย่างนี้แล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศลเพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล หรือเพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วมณี ๔ เหลี่ยม ที่บุคคลโยนขึ้นข้างบน ตกลงมาทางเหลี่ยมใดๆ ก็ย่อมตั้งอยู่ตามเหลี่ยมที่ตั้งลงมานั้นเอง ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางกาย ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล เพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางวาจา ๔ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล หรือเพราะเหตุแห่งสมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
.
จบสูตรที่ ๖
.
.
.**************************************.
.
.
การให้ผลของกรรม ธรรมปริยายสูตร
.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
ธรรมปริยายสูตร
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
.
          [๑๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ หยาบช้า มีมือชุ่มด้วยโลหิต ตั้งอยู่ในการฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวง บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คด มโนกรรมของเขาคด คติของเขาก็คดอุบัติของเขาก็คด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งคือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือกำเนิดดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสนของบุคคลผู้มีคติคด ผู้มีอุบัติอันคด ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดดิรัจฉานมีปรกติกระเสือกกระสนนั้นเป็นไฉนคือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้าแมว หรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆ ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่เขาทำ ผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ
.
            อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ลักทรัพย์ ... เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม ... เป็นผู้พูดเท็จ ... เป็นผู้พูดส่อเสียด ... เป็นผู้พูดคำหยาบ ...เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ ... เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น ... เป็นผู้คิดปองร้าย ... เป็นผู้มีความเห็นผิด คือมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดังนี้ บุคคลนั้นย่อมกระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาก็คดมโนกรรมของเขาก็คด คติของเขาก็คด การอุบัติของเขาก็คด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรกอันมีทุกข์โดยส่วนเดียวหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสน ของบุคคลผู้มีคติอันคด ผู้มีการอุบัติอันคด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานอันมีปรกติกระเสือกกระสนนั้นเป็นไฉน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้าแมว หรือสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้อื่นๆ ที่เห็นมนุษย์แล้วย่อมกระเสือกกระสน ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่เขาทำผัสสะอันเป็นวิบากย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ บุคคลนั้นย่อมไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง วจีกรรมของเขาก็ตรง มโนกรรมของเขาก็ตรง คติของเขาก็ตรง การอุบัติของเขาก็ตรง ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีคติอันตรง ผู้มีการอุบัติอันตรง คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือสกุลที่สูงๆ คือสกุล*กษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคฤหบดีมหาศาล อันมั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทองมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก มีทรัพย์และข้าวเปลือกมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้ว ด้วยประการดังนี้แล คือ สัตว์นั้นย่อมอุบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ
.
            อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ...ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม ... ละการพูดเท็จเว้นขาดจากการพูดเท็จ ... ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ... ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ ... ละการพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ... เป็นผู้ไม่อยากได้ของผู้อื่น ... เป็นผู้มีจิตไม่คิดปองร้าย ... เป็นผู้มีความเห็นชอบ คือ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การเซ่นสรวงมีผล การบูชามีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามีมารดามี บิดามี สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นอุปปาติกะมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตาม มีอยู่ในโลก ดังนี้ บุคคลนั้น ย่อมไม่กระเสือกกระสนด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กายกรรมของเขาตรง  วจีกรรมของเขาก็ตรง มโนกรรมของเขาก็ตรง คติของเขาก็ตรง การอุบัติของเขาก็ตรง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีคติตรง ผู้มีการอุบัติตรง คือ สัตว์ทั้งหลายผู้มีสุขโดยส่วนเดียว หรือสกุลที่สูงๆคือสกุลกษัตริย์มหาศาล สกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคฤหบดีมหาศาล อันมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินทองมาก มีเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก การอุบัติของสัตว์ย่อมมีเพราะกรรมอันมีแล้วด้วยประการดังนี้แล คือ เขาย่อมอุบัติด้วยกรรมที่ตนทำไว้ ผัสสะอันเป็นวิบากทั้งหลายย่อมถูกต้องเขาผู้อุบัติแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้รับผลของกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ
.
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตนเป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยทำกรรมอันใดไว้ เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งกระเสือกกระสนเป็นดังนี้แล ฯ
.
จบสูตรที่ ๑
.
.
.
.
.
.
#ต่อตีนโจร
.
#ไม่เคยนำปืนไปจ่อหัวบังคับใครให้กระทำ
#การกระทำเป็นการกระทำด้วยกายวาจาใจของตนเองทั้งสิ้น
.
.
.
#กระทำถูกกฎระเบียบหน่วยงานราชการและบริษัทแต่ผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี
#กระทำถูกต้องตามกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรมต้องไปใช้กรรมเสมอ
.
.
.
#ต่อให้ไปไหว้พระพุทธรูปทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้พระอริยสงฆ์ทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้เทวรูปเทวดาทั่วโลก
#ไม่มีใครช่วยให้หนีกรรมพ้น
.
.
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
.
.
.
#ต่อให้ใหญ่แค่ไหน
#ต่อให้รวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่เคยมีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องชดใช้กรรม
#บุพกรรมพระพุทธเจ้า
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid032fAfK8h6Cpj95zvpKPpZL2hzABsPt4jRBirhHn7CKSuJEhs1tJ81gSXcrtNWUqHzl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.

9
คุยสบาย นานาสาระ / ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2022, 09:54:31 pm »
.
ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน
.
Phakamon Songdechnarong
16 สิงหาคม 2565
.
"อยู่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน ไม่งั้นสิ่งพิเศษที่คุณมีก็ไร้ความหมาย"
.
หนุ่มวณิพก (ดนตรีเปิดหมวก) คนหนึ่งเล่นไวโอลินนาน 45 นาทีที่สถานีรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก มีคนหยุดฟังไม่กี่คน มีสองคนปรบมือให้ จบงานหนุ่มนักไวโอลินหาเงินได้ประมาณ 30 เหรียญ (1000 บาท)
.
ไม่มีใครเอะใจว่านักดนตรีดังกล่าวคือนาย Joshua Bell หนึ่งในนักไวโอลินที่เก่งที่สุดของโลก โดยที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น Joshua เล่นเพลงที่ซับซ้อนที่สุดเพลงหนึ่งด้วยไวโอลินระดับโลกที่มีมูลค่าถึง 3.5 ล้านเหรียญ (100 ล้านบาท)
.
และสองวันก่อนที่เขาจะบรรเลงในสถานีรถไฟนั้น ตั๋วคอนเสิร์ตของ Joshua Bell ที่บอสตันขายหมดเกลี้ยงโดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ใบละ 100 เหรียญ (3000 บาท)
.
การทดลองนี้พิสูจน์ว่า "ของดีพิเศษ" ในสภาพแวดล้อม "ปกติ" นั้นไม่ส่องแสง และมักถูกมองข้ามและประเมินค่าต่ำไป
.
ยังมีคนเก่งๆ ในโลกอีกหลายคนที่ถูกมองข้าม ไม่ได้การยอมรับหรือได้ "รางวัล" แห่งความสำเร็จที่สมควรได้
แต่เมื่อพวกเขาเปิดใจ ยึดมั่นที่คุณค่า สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง และพาตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมที่จำกัดพลังไว้ พวกเขาจะเติบโตและเจริญงอกงาม
.
ฉะนั้นเวลาที่ "ความรู้สึกลึกๆ" บอกเราว่าที่ๆ เราอยู่นั้นไม่เหมาะหรือกดเราอยู่ ให้เปิดใจฟังมัน
หาหนทางไปสู่สถานที่ที่ชื่นชมและเห็นคุณค่าของเราเถอะ
.
(Credit: classicfm.com)
.
.
#ถูกที่ #ถูกเวลา #ถูกคน
.
#ถูกที่ถูกเวลาถูกคน
.

10
.
อย่าไปใส่ใจคน ที่พูดถึงคุณในแง่ลบ
โพสโดย ตาสว่าง
24 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:00 น.
.
อย่าไปใส่ใจคน
ที่พูดถึงคุณในแง่ลบ
ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักคุณดีพอ
พวกขาเสือก ขาเสี้ยม ขาเมาท์
.
คนพวกนี้ “จิตป่วย” ไร้สาระ
ไม่มีแก่นสารอะไรในชีวิต
อยากพูดอะไรก็พูด
มโนไปเรื่อย จินตนาการเก่ง
.
ส่วนมาก “รู้น้อย”
แต่ “สาระแนเกินร้อย” ทั้งนั้น
ถ้าแคร์ คุณคงต้องเหนื่อยใจไม่สิ้นสุด
ฉะนั้น !!! วางเฉย แล้วใช้ชีวิตของคุณไป
.
เลือกแคร์ แต่คนที่รัก และหวังดีกับคุณก็พอ
ส่วนคนอื่น “ช่างแม่งเถอะ”
“ปากสกปรก” มาจาก “ใจที่สกปรก”
.
สิ่งที่พ่นออกมา บ่งบอกถึง “สภาวะจิต”
การถูกเลี้ยงดู อบรม ของคนๆ นั้น
ซึ่งคุณเลือกได้ ว่าจะยอมให้น้ำลายบูดๆ
กระเด็นโดน หรือ เลือกที่จะ “ไม่ให้ราคา”
.
คุณไม่สนใจ ไม่สะทกสะท้าน ไม่โต้ตอบ
ไม่ได้หมายถึง “ยอมรับ” หรือ “กลัว”
แต่คุณรู้ว่าอะไรที่ควร “เสียเวลา”
และอะไรที่ “น่ารังเกียจ!”
.
Credit : Pui Pinnarat
.

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 181

+- ธาราธรรม สายธารแห่งธรรมะ (เว็บไซต์ส่งเสริมธรรมะส่งเสริมความดี)

พลังจิต | สุขใจ | ธรรมะวัดเกาะวาลุกาลาม | อกาลิโกโฮม | ลานธรรมเสวนา | Dhamma Media Channel |ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย | หลวงตามหาบัว | ธรรมจักร | mindcyber | แปดหมื่นสี่พัน.org | กัลยาณมิตร | มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย | มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย | ประตูสู่ธรรม | บ้านธัมมะ | เว็บพระรัตนตรัย | คนดี | วัดป่ากรรมฐาน | คนเมืองบัว | พุทธาวุธ | หลวงพ่อ | พุทธภูมิ |ธรรมดี | ศาสนาที่พันทิพย์ | พระไทยเน็ต | ซีดีธรรมะ | วัดโพธิ์ | ธรรมสวนะ | ปฏิจจสมุปบาท | กุศล | หลวงปู่มั่น | dhamma.net | ดังตฤณ | dhamma4ever.com | ลานธรรมบัณฑิต | ฟังธรรม.com | ธรรมะไทย | บัวพ้นน้ำ |

Powered by Tairomdham