แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - sasita

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15
51
 :13: สาธุค่ะ

ตอนนี้คิดไม่ออกเลยค่ะแป้ง  ง่วงนอนแล้วจ้า  เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย *-*

52
ล้างรูป / Re: ดอกไม้ในสวนหน้าฝน
« เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 11:11:32 am »
กรี๊ดดดด ....เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว
แป้งชอบที่สุดในโลกเลยค่ะ 

ถ้าใช้ให้ไปซื้อดอกไม้ จะเลือกสีขาวเป็นอันดับต้น ๆ เลยล่ะ
ยิ่งขาวด้วย หอมด้วยนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่  เคยเห็นดอกโมกข์
แล้วยังรู้สึกชอบ จนเพื่อนๆ  บอกเออนะชอบอะไรแปลก ๆ  *-*

53
เห็นมีคนทดลองก็ข้างที่หุงแล้วเหมือนกันนะ ใน youtube ก็มี


 :01:

ข้างที่หุงแล้วคือยังไงหนอ  แล้วข้างที่ยังไม่หุงมันต่างกันมั้ยครับพี่  *-*

(ตั้งใจป่วน จะโดนแบนมั้ยเนี่ยเรา)


54
หลวงปู่มั่น / จิตอิทธิฤทธิ์
« เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 10:01:54 am »



อาจารย์มั่นมีนิสัยจิตผาดโผดมาตั้งแต่ดั้งเดิม นับตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติกรรมฐานใหม่ ๆ แล้ว จิตผาดโผนของท่านที่ว่านี้คือ เป็นจิตอยากรู้อยากเห็นช่างคิดช่างค้นคว้า มีความอาจหาญยอมตายถึงไหนถึงกัน ขอให้ได้แสวงหาเพื่อที่จะรู้ สิ่งที่อยากรู้ให้รู้แจ้งเห็นจริงจนถึงที่สุด จิตผาดโผนอยากรู้อยากเห็นของท่านเป็นนิสัยนี้เอง ทำให้ท่านเป็นพระอริยเจ้าฝ่าย ?เจโตวิมุติ? มีฤทธิ์มาก ทรงอภิญญา 6 คือ สำเร็จอรหันต์โดยการปฏิบัติทางสมถะกรรมฐานจนได้ ?ฌาน? แล้วใช้อำนาจฌานสมาบัติเป็นบาทฐานปฏิบัติวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ผล

พระอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุตินี้มีฤทธิ์มากกว่าพระอรหันต์ฝ่าย ?ปัญญาวิมุติ? ที่หลุดพ้นโลกบรรลุธรรมด้วยดวงปัญญาล้วน ๆ พระอรหันต์ฝ่ายปัญญาวิมุติ ท่านเห็นสังขารเป็นของแห้งแล้ง ประสงค์ ?สุขวิปัสโก? คือ ความสุขจากความสงบอย่างเดียว ไม่สนใจอยากรู้อยากเห็นอิทธิฤทธิ์ใด ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์ แต่ท่านก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้บ้างเป็นบางอย่าง เป็นแต่ว่าแสดงได้ช้ากว่าพระอรหันต์ฝ่ายเจโตวิมุติ

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า แม้ขณะจิตของท่านจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้าย ด้วยการสำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระศาสนา จิตของท่านก็ยังแสดงลวดลายอิทธิฤทธิ์ให้ท่านระลึกอยู่ไม่รู้ลืม ถึงกับได้นำมาเล่าให้บันดาลูกศิษย์ฟัง พอเป็นขวัญประดับใจและประดับสติปัญญา ท่านว่าจิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก พอจิตของท่านพลิกคว่ำวัฏฏจักรออกไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว จิตยังแสดงฤทธิ์เป็นลักษณะฉวัดเฉวียดรอบตัววิวัฏฏจิตถึงสามรอบ

รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลงแสดงบทบาลีขึ้นมาว่า ?โลโป? บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการลบสมมติทั้งสิ้นออกจากใจ

รอบที่สองสิ้นสุดลง แสดงคำบาลีขึ้นมาว่า ?วิมุตติ? บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือความหลุดพ้นอย่างตายตัว และการเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง

รอบที่สามสิ้นสุดลงแสดงคำบาลีขึ้นมาว่า ?อนาลโย? บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้นคือ การตัดอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง เป็นเอกจิต เอกธรรม จิตแท้ ธรรมแท้มีอันเดียว ไม่มีสองเหมือนสมมติทั้งหลาย

นี่คือวิมุตติธรรมล้วน ๆ ไม่มีสมมติเข้าแอบแฝง จึงมีได้เพียงอันเดียว รู้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีสองมีสามสืบต่อสนับสนุนกัน

พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ ล้วนแต่รู้เพียงครั้งเดียวก็เป็นเอกจิตเอกธรรอันสมบูรณ์ ไม่แสวงเพื่ออะไรอีก สมมติภายในคือขันธุ์ ก็เป็นขันธุ์ล้วน ๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยและทรงตัวอยู่ตามปกติเดิมไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงตาม ความตรัสรู้ คือขันธุ์ที่เคยนึกคิดเป็นต้น ก็ทำหน้าที่ของตนไปตามคำสั่งของจิตผู้บงการ
จิตที่เป็นวิมุตติก็หลุดพ้นจากความคละเคล้าพัวพันในขันธ์ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างจริงต่างไม่หาเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นกันดังเคยที่เป็นมา ต่างฝ่ายต่างสงบอยู่ตามธรรมชาติของตน

ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ธุระประจำตนจนกว่าจะถึงกาลแยกย้ายจากส่วนผสม เมื่อกาลนั้นมาถึงจิตที่บริสุทธิ์ก็แสดง ?ยถาทีโป จ นิพพุโต? เหมือนประทีบดวงไฟที่หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น

นี่คือธรรมแสดงในจิตท่านพระอาจารย์มั่น ขณะที่ท่านบรรลุธรรมวิเศษเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ที่ท่านนำมาเล่านี้ใช่เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เป็นการเปิดเผยแย้มพรายให้ฟังเฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้าด้วยกัน ท่านไม่ได้เล่าโดยทั่วไป เมื่อลูกศิษย์ของท่านที่เป็นพระอริยเจ้าได้รับฟังระดับบารมีตนแล้วก็บันทึก ไว้เป็นเรื่องมหัศจรรย์


คัดลอกมาจาก:เวบบอร์ดวัดป่าโนนวิเวก - แสดงกระทู้ - จิตอิทธิฤทธิ์ : หลวงปู่มั่น

55
บทความ (Blog) / Re: เบื่อ .... :'((
« เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 07:02:12 pm »

 :47:

สู้ ๆ ค่ะอิ๋ม


คมคำ : แก้ปัญหาที่ตัวเรา…ง่ายที่สุด

56
คุยสบาย นานาสาระ / “เหงา” ไม่ใช่ปัญหา
« เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 06:57:08 pm »


“เหงา” เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ในทุกคน แต่หากคุณรู้สึกว่าเป็นคนขี้เหงา อยู่ตามลำพังไม่ได้ ต้องหาเพื่อนอยู่ตลอดเวลาหากต้องอยู่คนเดียว จะรู้สึกเหงา กระวนกระวายไม่มีความสุขต้องโทรศัพท์หาเพื่อนตลอดเวลา


หากเป็นเช่นนี้เหมือน ชีวิตต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น ต้องมีที่พึ่งทางใจอยู่เสมอ ก็จะเกิดผลเสียคือขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดการเรียนรู้ที่จะอยู่หรือแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และอาจทำให้เพื่อนรำคาญ หลีกเลี่ยงที่จะพูดคุย แถมยังเปลืองค่าโทรศัพท์หากเป็นเช่นนี้ ความเหงาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นปัญหาทั้งต่อตัวเราและผู้อื่น

ซึ่งเราอาจแก้ไขได้โดย พยายามอยู่กับตนเองให้มากขึ้น หากิจกรรมที่ชอบทำ เช่น ฟังเพลงที่ชอบ ดูโทรทัศน์ ทำงานบ้านทำงานอดิเรกที่สนใจ ลดเวลาในการโทรหาเพื่อน จำกัดเวลาในการคุยโทรศัพท์ เป็นต้น พร้อมทั้งลองสำรวจความรู้สึกของตนว่าเมื่ออยู่คนเดียวมีความรู้สึกอย่างไร ทำไมเราถึงไม่ชอบที่จะอยู่คนเดียว

บางครั้งการอยู่คนเดียว บ้างในบางเวลา อาจช่วยให้เราได้พักได้สำรวจตัวเอง พร้อมทั้งได้เรียนรู้จักตนเองมากขึ้นอีกด้วย


 :07:ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
“เหงา” ไม่ใช่ปัญหา | ThaiHealth.or.th

58
กฏแห่งกรรม-ชาติภพ / กรรมชั่วตกถึงลูก
« เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 10:10:40 am »
 




      กรรมและผลของกรรมนั้น เป็นสิ่งที่สลับซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้อย่างละเอียด บางครั้งพ่อเป็นคนสร้างกรรม แต่ผลของกรรมกลับไปแสดงผลกับลูก กับครอบครัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นอกจากทุกคนจะมีกรรมเป็นของตนเองแล้ว แต่ละคนยังมีกรรมร่วมกันด้วย เมื่ออยู่ในครอบครัวเดียวกัน ก็จะมีกรรมที่ทุกคนเคยทำร่วมกัน จึงได้รับผลร่วมกันก็มี ดังเรื่องราวของ “ประยงค์” ชายรับจ้างวัย 51 ปี เป็นคนสามพราน นครปฐม เขามีฐานะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีรายได้แค่พอเลี้ยงครอบครัวไปวันๆเท่านั้น
       
       วันหนึ่งมีร้านอาหารมาเปิดแถวพุทธมณฑลสาย 5 ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของประยงค์เท่าใดนัก และเจ้าของร้านก็รู้จักกันดีกับประยงค์ ที่ร้านนี้มีเมนูอาหารหลายอย่าง แต่ที่ขึ้นชื่อน่าจะเป็นปลาช่อนลุยสวน ซึ่งมีรสชาติอร่อยมาก เพราะใช้ปลาช่อนสดๆที่เพิ่งถูกฆ่าใหม่ๆ เมื่อร้านอาหารมีคนมาอุดหนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ปลาช่อนลุยสวนเมนูเด็ดของร้านจึงทำไม่ค่อยทัน หลายครั้งปลาก็หมดอย่างรวดเร็ว เจ้าของร้านจึงคิดสั่งปลามาเพิ่ม เพื่อจะได้ตอบสนองลูกค้าอย่างเพียงพอ
       
       เจ้าของร้านเห็นประยงค์ไปรับจ้างได้ค่าแรงไม่มาก จึงคิดอยากจะหาทางช่วยเหลือ วันหนึ่งเมื่อได้เจอประยงค์ เขาก็ถามว่าสนใจที่จะทำงานให้กับร้านหรือไม่ ประยงค์ก็รีบรับปากทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เจ้าของร้านบอกว่า ทำอยู่ที่บ้านก็ได้ ทำเสร็จค่อยเอาไปส่งที่ร้าน จะทำกี่คนก็ได้ ช่วยกันทำ ยิ่งทำได้มาก ก็ยิ่งจะได้ค่าตอบแทนมาก งานนั้นก็คือ เป็นเพชฌฆาตฆ่าปลาช่อน พร้อมขอดเกล็ดให้เรียบร้อย
       
       ประยงค์ไม่ได้นึกอะไรไปมากกว่าได้รับค่าตอบแทนที่ดี มีเงินเพิ่มเพื่อเลี้ยงครอบครัว เพราะตอนนี้เขาก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว อายุเพิ่ง 7 ขวบ ความหวังของประยงค์ นั้นอยากจะให้ลูกได้มีโอกาสเรียนสูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ เขาจึงตกปากรับคำกับเจ้าของร้าน
       
       วันรุ่งขึ้นก็มีรถขนปลาช่อนตัวเป็นๆ มาที่บ้านเขาจำนวนมาก ตอนแรกที่เห็นปลาทั้งหมดดิ้นในถัง ทำเอาประยงค์รู้สึกกลัวเหมือนกันที่ต้องฆ่าปลาเหล่านี้ เพราะขนาดของปลามีแต่ตัวใหญ่ๆ หากเป็นปลาตัวเล็กๆ เขาก็คงไม่หวาดเสียวเท่าใดนัก แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะได้รับปากไว้แล้ว
       
       ประยงค์จึงเริ่มทำงานโดยทุบหัวปลาช่อนให้ตายทีละตัวๆ บางตัวก็ต้องทุบหลายครั้งกว่าจะตาย เนื่องจากตัวใหญ่หัวแข็ง ในแต่ละวันกว่าจะทุบหัวปลาและขอดเกล็ดหมดก็ใช้เวลานานพอสมควร และตามแขนขาหน้าตาของเขาเต็มไปด้วยเลือดปลาที่กระเด็นใส่!!
       
       เมื่อวันแรกของการเป็นเพชฌฆาตปลาช่อนผ่านไปและมีรายได้ดี ประยงค์ก็ไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากทุบหัวปลาให้ได้มากขึ้น หลายครั้งเขาก็เรียกลูกเมียมาช่วย ซึ่งตอนแรกๆทุกคนรู้สึกกลัว ไม่กล้าทำ แต่เมื่อเห็นจนเป็นความเคยชิน จึงได้เริ่มลองทำดูบ้าง จนทำให้งานของเขาเสร็จเร็ว ได้เงินมากขึ้น และเหลือเวลาไปรับจ้างทำอย่างอื่นได้อีก
       
       บ้านของประยงค์อยู่ริมคลอง ทุกเช้าเขาจะมานั่งทุบหัวปลาอยู่ริมคลองพร้อมกับครอบครัว หลังจากทุบเสร็จ ขอดเกล็ดแล้ว ก็จะตักน้ำคลองมาล้างปลาจนสะอาด และทุกเช้าจะมีพระเดินบิณฑบาตรผ่านบ้านเขาทุกวัน บางครั้งพระที่เดินผ่านมาก็ตกใจ เพราะเห็นปลาที่ประยงค์กำลังทุบอยู่นั้นดิ้นอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ทุกข์ทรมานกับการถูกทุบหัวเป็นยิ่งนัก บางครั้งดิ้นแรงมากจนถึงกับกระเด็นมาใกล้เท้าพระ หลายครั้งที่พระได้เตือนประยงค์ไปว่า หากเลี่ยงอาชีพนี้ได้ก็ให้เลี่ยงซะ อย่าทำเลย เพราะมันเป็น บาปเป็นกรรม ประยงค์ก็รับฟังสิ่งที่หลวงพ่อสอน แต่ว่าจะให้เขาทำอย่างไร จะเปลี่ยนอาชีพก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จึงคิดว่าทำอาชีพนี้ต่อไปก่อน หากหาอาชีพใหม่ที่ดีกว่านี้ได้แล้ว ค่อยเปลี่ยนไปทำ
       
       เวลาผ่านไป ครอบครัวของประยงค์เริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากคนที่กลัวการฆ่า แต่วันนี้ทุกคนไม่กลัว และเห็นการฆ่าปลาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย จนกลายเป็นความเคยชิน เพราะอาชีพนี้ช่วยให้ครอบครัวเขาดีขึ้น
       
       ประยงค์และครอบครัวไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ ผลกรรมมันจะตามมาทันอย่างรวดเร็วในชาตินี้... แล้วกฎแห่งกรรมก็เดินทางมาถึงในช่วงเย็นของวันหนึ่ง ลูกสาวของประยงค์ได้ลงไปเล่นน้ำในคลองหน้าบ้านตามลำพัง ซึ่งตามปกติเธอก็มักจะโดดน้ำคลองเล่นเป็นประจำมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ เธอจึงมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการเล่นน้ำในคลอง พ่อแม่ก็ปล่อยให้เล่นตามสบาย เพราะเห็นลูกเล่นอย่างนี้มานานแล้ว
       
       แต่วันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ น้องเจนจิราได้ปีนขึ้นต้นไม้ริมคลองแล้วกระโดดลงน้ำ เหมือนอย่างที่เคยเห็น เด็กแถวบ้านทำกัน เธอกระโดดพุ่งหัวลงไปในคลองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหัวของเธอก็ไปกระทบเข้ากับตอไม้ท่อนใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างแรง จนหัวแตก คอหัก ทำให้เธอจมดิ่งลงใต้น้ำ!! กว่าที่พ่อแม่จะรู้ว่าลูกจมหายไปในน้ำ แล้วลงไปช่วยกันงมหา น้องเจนจิราก็ได้กลายเป็นศพไปเสียแล้ว...
       
       ประยงค์และภรรยาต่างร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียว แถมยังมาตายอย่างน่าอนาถ ความฝันของประยงค์ ที่จะทำให้ลูกสาวได้เรียนสูงๆนั้นจึงหายวับไปกับตา เมื่อเขาได้สติก็ระลึกถึงคำเตือนของพระ ว่าสิ่งที่เขากับครอบครัวช่วยกันทำนั้นเป็นบาปกรรม พวกปลาที่ถูกเขาฆ่าคงอาฆาตแค้นอยู่ไม่น้อย จึงทำให้ลูกสาวต้องตายในสภาพเช่นเดียวกับปลาช่อนที่ถูกทุบหัวนั้น!!
       
       นี่คือผลของกรรมที่เห็นได้ทันทีในชาตินี้ ถึงแม้ว่ากรรมที่ทำจะไม่ได้แสดงผลกับประยงค์โดยตรง แต่การที่มันให้ผลกับลูกของเขา ก็ยิ่งเป็นเหมือนกับมีดโกนที่บาดลงกลางใจของผู้เป็นพ่อ เพราะลูกเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ เขายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อลูก แต่เมื่อเห็นลูกมาตายเช่นนี้ ชีวิตเขาก็เหมือนกับตายทั้งเป็น
       
       การฆ่าสัตว์ใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่เป็นบาป ผิดศีล และผลกรรมจากการฆ่าสัตว์จะทำให้อายุสั้นลงด้วย
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย มาลาวชิโร)

 

59
   

บางครั้งชีวิตของคนเราก็คิดมากเกินไป และความคิดมากส่วนใหญ่นั้นก็ไร้ประโยชน์เสียด้วย เรามาฝึกที่จะมีลมหายใจแห่งสติ เพื่อความคิดของเราจะได้ช้าลง เราะจะพบว่าความคิดที่ครอบงำปัจจุบันของเรามักจะเน้นความคิดที่หมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านมา เราอาจจะเศร้าโศกเสียใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้วและเราก็เอาความคิดที่นึกถึงอดีตนั้นมาทำลายปัจจุบัน หรือบางทีเราก็หวาดระแวงกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เวลาที่เราอยู่ในปัจจุบันที่มีอดีตและอนาคตมาครอบงำปัจจุบันอย่างนี้ แสดงว่าเราคิดไม่เป็นแล้ว เราต้องเรียนรู้กับอดีตแล้ววางแผนอนาคตที่ปัจจุบัน เราสามารถที่จะตั้งรับผลของอดีตที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน อย่างคนที่รู้ตัวทั่วพร้อมได้ ถ้าท่านฝึกหายใจอย่างมีสติ ลมหายใจอย่างมีสติจะช่วยให้เรามีความสุขสงบแล้วก็ผ่อนคลาย การที่ท่านฝึกฝนที่จะมีชีวิตในปัจจุบันขณะอย่างคนที่วางแผนเป็น ท่านก็จะทราบว่าอนาคตของท่านก็ไม่ต้องแก้ตัวเลย เราฝึกฝนอย่างคนที่จะรู้ว่าปัจจุบันขณะเป็นเวลาดีที่จะมีลมหายใจแห่งสติปัญญาแล้วก็เรียนรู้จัดการระบบความคิดของเรา ที่จะวางแผนอนาคตของเราอย่างคนที่รู้ว่า ถ้าอยากให้อนาคตเป็นอย่างไรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มีปัจจุบันขณะที่ตื่นและรู้ตัวทั่วพร้อม มีชีวิตอย่างคนที่ไม่หลับใหลและหลงลืม มีความคิดในปัจจุบันที่ศึกษาอดีตแล้ววางแผนอนาคตในทุก ๆ การกระทำ มีชีวิตที่เห็นผลแห่งการคิดถูกนี้แล้วก็เชื่อมั่นในผลที่เราฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว ขอให้มีความสุขกับการที่ได้คิด


ธรรมสวัสดี

ที่มา ทุกข์มีไว้ให้เห็น ... ไม่มีไว้ให้เป็น
http://www.sathira-dhammasathan.org/index.php?topgroupid=1&subgroupid=621&groupid=14

60
หลวงปู่มั่น / ปัจจุบันนั้นสำคัญกว่า
« เมื่อ: กันยายน 16, 2010, 09:14:23 am »
 


 สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งของที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริงแม้จะ
 ทำความผูกพัน และมั่นใจในสิ่งนั้น กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปมิได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมาย
 นั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป
 
   อนาคต ที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
   อดีต ควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
   ปัจจุบัน เท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย

ที่มา ธรรมะไทย.เน็ต

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15