แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ธรรมรักษ์

หน้า: [1] 2 3
1
วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ



           
                                                                                        อาเศียรวาท ราชสดุดี


                                                                                                 สรวมชีพพระปิ่นฟ้า            รังสฤษฎ์
                                                                                               ราชินีสิริกิติ์                      เกริกฟ้า
                                                                                               ชนม์ยืนชื่นชนชิด             ทุกถิ่น   ไทยแฮ
                                                                                               พระแผ่บุญปกหล้า            ทั่วทั้งแดนสยาม

                                                                                                   กอปรศิลปาชีพช่วย           ชนสราญ   
                                                                                               ปวงพสกนิกรกราน            กราบไท้
                                                                                               ทรงบุญคู่ภูบาล                 รอยพระบาท   ธ เยื้องเฮย
                                                                                               เกริกเกียรติพระทรงไว้        ยิ่งฟ้าพระบารมี

                                                                                                  อัญเชิญองค์เทพไท้          เทวัญ
                                                                                               นมัสการพระตรัยบรรพ์       รัตนาสน์
                                                                                               โสฬสชั้นสวรรค์               โปรดป้อง พระชนม์เทอญ
                                                                                               สมเด็จพระราชินีนาถ         สุขล้นถวายพระพร



2
ผู้ ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม
พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมโร)
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ



ผู้ปฏิบัติธรรม
จะต้องมีการเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว


บุคคลใดมีธรรมอันพอ
จะช่วยให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ แต่ไม่ช่วย


พระพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงสรรเสริญบุคคลชนิดนั้น
และตัวเราเองก็ติเตียน


ถ้าหากเราจะทำอย่างนั้นบ้าง
เราก็สบายไปนานแล้ว
ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้
ทุกสิ่งที่อย่างที่ทำไปนี่
ก็เพราะเห็นแก่ศาสนาส่วนใหญ่



(คัดลอกบางตอนมาจาก “อาณาปานานุสรณ์ตอนต้น”
ใน แนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กรรมฐาน เรียบเรียงจาก โอวาท ๔ พรรษา
ของ พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจาย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมโร)
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ, หน้า ๓๐๑)

3
ประโยชน์ของศาสนา


ศาสนา มีประโยชน์และความสำคัญในฐานะที่เป็นสถาบันหลักสำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้อยู่ได้ในสังคมอย่างปกติสุข ซึ่งสรุปได้ดังนี้

๑. เป็นหลักควบคุมความประพฤติของคนในสังคม มนุษย์เราเมื่ออยู่ในสังคมจะต้องมีกฎระเบียบ เพื่อป้องกันการล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน และลงโทษผู้กระทำผิด แต่ในสังคมมีความหลากหลายซับซ้อน กฎระเบียบอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ จึงต้องมีหลักคำสอนทางศาสนามาปฏิบัติเพื่อให้เป็นคนดีตามหลักศาสนานั้น และส่งเสริมให้คนมีเมตตา เอื้ออาทรต่อกัน และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

๒. ช่วยให้สังคมเกิดความสามัคคีมีเอกภาพ เพราะศาสนาจะมีหลักปฏิบัติตามให้เป็นคนมีเหตุมีผล และมีใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน รักใคร่ปรองดองกัน สามัคคีกัน แม้กระทั้งคนที่อยู่ต่างศาสนาก็สามารถเข้าใจกันและร่วมมือกัน ประสานสามัคคีได้ สังคมของคนที่นับถือศาสนาจึงมีความสามัคคีและมีเอกภาพ

๓. ศาสนาช่วยให้สังคมดำเนินไปอย่างสันติสุขและราบรื่น อันเนื่องจากศาสนามีส่วนช่วยในการดำเนินชีวิตของศาสนิกชน กล่าวคือ เมื่อศาสนิกชนยึดคำสอนของศาสนาปฏิบัติในชีวิต จะทำให้สามารถแก้ปัญญาชีวิตด้วยเหตุผลและปัญญาเป็นหลักในการตัดสินใจ ทำให้รู้จักอดกลั้น รู้จักขุมอารมณ์ นอกจากนี้ศาสนายังช่วยยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น

๔. เป็นการชดเชยความต้องการพื้นฐานของผู้นับถือศาสนา มนุษย์โดยธรรมชาติมีความต้องการพื้นฐานเหมือนกันคือ ด้านร่างกาย ด้านอาหาร เรื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ด้านสังคม ก็ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ช่วยเหลือปรองดองกัน ด้านปัญญา ก็ต้องการหลักแห่งความเป็นเหตุ เป็นผล ในการดำเนินชีวิต ด้านจิตใจ ก็ต้องการกำลังใจ ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จึงกล่าวได้ว่าแต่ละศาสนาจะมีหลักที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของศาสนิกชน ของตนได้อย่างชัดเจน

๕. ศาสนาเป็นบ่อเกิดของการสรรค์สร้างวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม สถาปัตยกรรม และวรรณคดี ล้าวนมีแหล่งกำเนิดมาจากคำสอนทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เช่น เรื่องการทำความดี นรก สวรรค์ ที่เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดงานศิลปะเป็นจิตรกรรมฝาผนัง พระเวสสันดรชาดก พระมหาชนก เป็นวรรณกรรมไทยที่สำคัญโดยมีที่มาจากคำสอนในชาดก มารยาทไทย การกราบ การไหว้ รวมไปถึงประเพณีต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั้งตายของผู้คนส่วนมากล้วนมาจากพระพุทธศาสนาเกือบทั้งสิ้น

4

การบำเพ็ญเพียรภาวนาของหลวงปู่เณรคำสมัยตอนเป็นสามเณร.. จะไม่รอโอกาส ไม่รอเวลา จะไม่เอาเรื่องใหญ่มาเป็นข้อพิจารณา แต่เราจะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้เองทุกอย่าง เมื่อเรามีการเข้าไปสัมผัสรู้ รับรู้ในสิ่งนั้น โดยใช้อำนาจของสติ ความระลึกได้ มีความตั้งมั่นพินิจพิจารณาใคร่ครวญสิ่งนั้นให้ดี จับมันยกขึ้นมา สิ่งนั้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผลที่ได้มหาศาลมาก

เรา ทุกคนอาจจะเข้าใจว่า การบำเพ็ญเพียรภาวนานั้น ฉันต้องรอนั่งสมาธิ ๑ ชม. ๒ ชม. หรือว่าการบำเพ็ญภาวนา ฉันต้องเดินจงกรม ๓๐ นาที กำหนดอิริยาบถท่าทางไปตามสภาวะ ผลมันถึงจะเกิดกับฉัน การคิดอย่างนั้นก็ถูกต้อง อันเป็นแนวทางดั้งเดิม

แต่แนวทางใหม่ เหมือนกับที่เราต้องเข้าใจว่า ระบบเดิมมันต้องรอเวลา มันต้องรอโอกาส เดี๋ยวก็ต้องรอเวลาว่างจากการทำงาน เดี๋ยวก็ต้องรอเวลาว่างจากการปฏิบัติภารกิจในแต่ละวัน ในการปฏิบัติของหลวงปู่ไม่เคยมีการรอคอยเวลา ทุกเวลาเป็นการภาวนาไปหมด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส จะเป็นสภาวะที่เราจะเข้าไปทำการเจริญสติ ณ จุดนั้นให้ได้

อย่าง ที่สมัยตอนเป็นสามเณรบำเพ็ญอยู่ พอออกจากที่นั่งสมาธิ ไปเดินจงกรมเสร็จเรียบร้อย ยืนทำสมาธิเสร็จ ก็ไปทำภารกิจอื่นๆ อย่างเช่น กวาดใบไม้ มือที่จับด้ามไม้กวาด เราก็รู้ว่าเราจับด้ามไม้กวาด บางทีเห็นผมร่วงลงสู่พื้น เราก็พิจารณาเส้น ผมนั้น สัมผัสรู้ในสิ่งที่มันหลุดร่วงออกมา มดกัด ยุงกัด หรือว่าลมพัดกระทบผิว แม้กระทั่งความคิดที่มันคิดอยู่ในปัจจุบัน ขณะเราคิดอะไรอยู่ เราก็ไปจับรู้ในความคิดอันนั้นเสีย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ทรงคุณค่ามาก

ผลที่ได้เข้าไปกำหนดรู้อันนั้นนี่ มันจะรวมกันเป็นหนึ่งในใจของเรา คือ ความเป็นผู้ที่มีความระลึกได้ในทุกสภาวะ ทุกอาการที่เกิดขึ้น พุทธศาสนิกชนทุกคนนี่ จึงสามารถที่จะบำเพ็ญโดยวิธีนี้ได้ โดยท่านไม่ต้องมาอ้าง ไม่ต้องมีข้อแม้ว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติ ทุกคนมีเวลา เพราะฉะนั้น ข้ออ้างนั้นก็คือ เป็นการสนองกิเลส มันไม่ใช่ สิ่งที่จะทำให้จิตใจของเราเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ อย่างหลวงปู่กำลังนั่งบรรยายธรรมอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่มีความระลึกได้อย่างสม่ำเสมอคงเส้นคงวา มีความสัมผัสรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีสติต่อเนื่องตลอดเวลา สมาธิต่อเนื่อง ปัญญาก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ธรรมะอาจจะให้ความหลากหลายแก่ท่านพุทธศาสนิกชน ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราเข้าใจกันแล้วว่า สิ่งละเอียดเล็กน้อย มันมีคุณค่า


ในสากลกายนี้ ที่มีเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก หรือว่าในเวทนา ทุกสัมผัสที่มันเกิดขึ้น หรือว่าในจิตในธรรมทั้งหลาย ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ มีความสัมพันธ์กันหมด พอหลวงปู่ไม่รู้ ผู้แนะนำไม่มี ก็เลยมานั่งสมาธิ กำหนดจิตให้เข้าสู่ความสงบนิ่ง เจริญปัญญาวิปัสสนา ก็คือ การบำเพ็ญของหลวงปู่ ความหยั่งรู้แจ่มแจ้งในความเป็นจริงของชีวิตมันมีมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ความหยั่งรู้ตรงนี้มันชัดเจนแจ่มแจ้งมาก สิ่งที่มันรู้ในกายในใจก็ไม่มีข้อสงสัยแล้ว โลกธรรมทั้งหมดเราก็ไม่สงสัย


แล้ว นับประสาอะไรกับเครื่องคอมพิวเตอร์ พอสงสัยอะไร ก็นั่งสมาธิดู ปรากฏว่าเห็นโปรแกรมขึ้นมา มันมหัศจรรย์มาก มันให้รายละเอียดอะไรต่างๆ มากมาย พอจับจุดมันได้ก็พบว่ามันก็มีสาระแก่นสารของมัน เหมือนกับจิตผู้ที่ปฎิบัติธรรมกรรมฐาน เราอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มันปรากฏอยู่ในทุกขณะจิตในปัจจุบัน สรุปแล้วก็เลยใช้คอมพิวเตอร์ได้จากการนั่งสมาธิ ตั้งแต่เด็กไม่เคยจับมาก่อนเลย มหัศจรรย์มาก แปลว่า ผลของการปฏิบัติธรรมที่เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ให้อะไรหลากหลายมากมาย เป็นสิ่งที่เรารับรู้ ค้นคว้า แล้วนำมาปฏิบัติ




-----------------
พิมพ์คัดลอกมาจากหนังสือ ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด 2
หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก
จาก หน้า ๑๙๙ - ๒๐๒

5

เมื่อทราบแล้วว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมติ
แม้จริงก็เป็นตวามจริงที่สมมติขึ้นมา
ควรก้าวล่วงออกจากโลกียธรรมนั้นเสีย

การออกจากโลกียธรรมก็อาศัยโลกียธรรมนั้นแล
ด้วยโลกียธรรมนั้นมีสองประเภท


ประเภทหนึ่งคือสมมติที่ทำให้มนุษย์มัวเมา
อีกประเภทหนึ่งเป็นวิธีบำเพ็ญเพียรมีศีลธรรม จริยธรรม
การเพ่ง การพินิจ และสมาธิ
กอปรเป็นสภาวะที่จะช่วยนำจิตใจออกจากโลกสมมติเสียได้


ถ้าจะเปรียบให้เห็นชัด โลกียธรรมทั้งสองประเภทก็เหมือนหนามสองอันในโลก

เมื่อหนามอันนึงตำเราให้เจ็บปวด
ก็ต้องใช้หนามอีกอันนึงบ่งหนามที่ตำออกอยู่เสีย
เมื่อบ่งหนามที่ตำอยู่ออกได้แล้ว
ก็ละหนามทั้งสองเสีย

แต่การจะใช้หนามบ่งหนามออกนั้นก็มีวิธี
วิธีที่จะล้างสมมติแห่งโลกียธรรมออกจากใจเสียได้นั้น
ต้องอาศัยสมาธิกอปรกับสภาวะ ๔ นั้น คือ


๑. การสำรวมอินทรีย์ ความอดกลั้น การสำรวมใจ และความศรัทธา
๒. ความหน่ายหรือความไม่ปรารถนาในผล ไม่ว่าในโลกนี้ หรือในโลกหน้า
๓. ความแตกฉานรู้แจ่มแจ้งแทงตลอดในสมมติและสัจจะ
๔. ความปรารถนาที่จะยกระดับตนให้พ้นจากโลกียธรรมทั้งหลาย


6
คุณ เคยได้ยินมั้ยว่า "นิ้วมันไม่ได้เท่ากันทุกนิ้ว แล้วจะให้รักคนเท่ากันได้อย่างไร?"
ประเด็นของเรื่อง ไม่ได้อยู่ที่นิ้ว หากแต่อยู่ที่จิตอันเป็นธรรม
เพียงแต่มนุษย์ผู้ปะปนไปด้วยกิเลส ย้อมกายและจิตด้วยอบาย เพื่อหาข้ออ้างเข้าข้างตัว
ด้วยการเอานิ้วมาเทียบธรรม





ปุจฉา สังคมของเราในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความลำเอียงเกิดขึ้นมาก ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้ถึงโทษ และแนะแนวทางแก้ไขความลำเอียงในตัวของคนเราด้วยครับ ?
วิสัจฉนา คำว่า “ลำเอียง” ภาษาบาลีใช้คำว่า “อคติ”


“อ” แปลว่า ไม่
“คติ” แปลว่า ทางไป
“อคติ” แปลว่า ทางที่ไม่ควรจะไป




แต่ว่าถ้าจะอธิบายโดยใช้ศัพท์เป็นภาษาบาลีอย่างนี้ คนไทยคงเข้าใจได้ยาก ปู่ย่าตาทวดของเราท่านจึงบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ โดยเปรียบใจคนเหมือนอย่างกับเรือเสียเลย คือเรือมีลักษณะเป็นลำๆ แล้วถ้าลำของเรือนั้นเอียง ไม่ว่าจะเอียงซ้าย ไม่ว่าจะเอียงขวา น้ำก็จะเข้ามาในลำเรือ ทำให้เรือล่ม คนที่อยู่ในเรือต้องจมน้ำกันหมด
ใจคนเราก็เหมือนกัน ธรรมดาแล้วถ้าเป็นใจของคนที่รักความเป็นธรรม ใจของคนมีบุญ ใจของคนที่ฝึกตัวเองมาดี ย่อมไม่เอียงซ้าย เอียงขวา เอียงหน้า เอียงหลังและจะอยู่ที่ศูนย์กลางกายพอดี แต่ว่ามีบุคคลบางประเภท ใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็เลยกลายเป็นคนที่มีความลำเอียง ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ

๑. ลำเอียงเพราะรัก คือเห็นแก่พวกพ้อง ก็เลยเอาผลประโยชน์ที่ไม่ควรจะได้ ไปให้พวกพ้องของตน

๒.ลำเอียงเพราะชัง คือ ไม่ชอบหน้าเขา โกรธเขา แถมผูกโกรธเสียอีกด้วย ก็เลยกลั่นแกล้งเขา สิ่งที่เขาควรจะได้ ก็ไปกันเอาไว้ไม่ให้เขาได้

๓. ลำเอียงเพราะโง่ คือ ตัวเองมีสติปัญญาไม่พอ แล้วเที่ยวไปตัดสินอะไรง่ายๆ ทำให้ผู้ที่ควรจะได้ประโยชน์ กลับเสียประโยชน์ คนที่ไม่ควรจะได้ประโยชน์ กลับได้ประโยชน์

๔. ลำเอียงเพราะกลัว คือ ไม่ได้รักใคร ไม่ได้ชังใคร แล้วก็ไม่ใช่โง่ แต่ว่าเนื่องจากกลัวอิทธิพล เพราะฉะนั้น ผลประโยชน์ควรจะได้กับผู้ที่สมควรได้ ก็เอาไปยกให้พวกมาเฟียแทน เพียงเพื่อจะให้ตัวเองรอดพ้นจากอิทธิพลจากคนเหล่านั้น อย่างนี้ก็จัดเป็นเรื่องของความลำเอียงเช่นกัน

บ้านเมืองใด ถ้าหากมีผู้นำ มีผู้บริหาร ที่ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะโง่ หรือว่าลำเอียงเพราะกลัวล่ะก็ ประชาชนของบ้านเมืองนั้น ต้องเดือดร้อนแน่นอน

โลกของเราต้องเดือดร้อนเพราะคนลำเอียงมามากเหลือเกิน เพราะทุกยุค ทุกสมัย และในทุกประเทศ ลองไปอ่านประวัติศาสตร์ดูเถอะ แล้วจะพบว่า มีเรื่องความลำเอียงด้วยกันทั้งสิ้น



ส่วนที่หลายๆ คนมักเข้าใจว่า เมืองไทยของเรามีเรื่องของความลำเอียงเกิดขึ้นมากนั้น ความจริงแล้ว มีความลำเอียงด้วยกันทุกประเทศนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะปรากฏออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น ในขั้นต้น ทำใจเสียเถอะคุณเอ๊ย

สำหรับวิธีแก้ไข ก็ต้องบอกว่า ในเรื่องของความลำเอียง ถ้าผู้ที่ลำเอียงยังเป็นเด็กอยู่ ก็พอที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก
แต่ว่าถ้าผู้ที่ลำเอียงเป็นผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ลำเอียง ย่อมแก้ไขได้ ยากเพราะใครจะไปแก้ให้ล่ะ เห็นๆ ว่าพ่อแม่ลำเอียง ลูกจะมีปัญญาไปแก้อะไร ขืนเข้าไปเตือน เดี๋ยวได้โดนท่านเอ็ดออกมา นี่ขนาดในครอบครัวเท่านั้นนะ

ถ้าเป็นระดับหน่วยงาน ไม่ว่าหน่วยงานเอกชน หรือว่าหน่วยงานราชการ เมื่อมีความลำเอียงเกิดขึ้น ก็จะยิ่งมีความรุนแรงกว่าที่เกิดในครอบครัว ระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกๆ มากนัก ผู้ที่จะเข้าไปแก้ไขได้ ก็มีแต่ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่มีอำนาจ ในหน่วยงานนั้นๆ นั่นแหละ
แต่เจ้ากรรม ถ้าผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าหน่วยงานลำเอียงเสียเอง อย่างนี้ก็แทบจะหมดทางแก้ไข แต่ว่ายังพอมีทางอยู่เหมือนกัน เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ใหญ่ ระดับหัวหน้าหน่วยงานที่ไหนก็ตาม ในชีวิตจริงก็ยังพอจะมีคนที่เขาเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น หาคนที่เขาเคารพ หาคนที่เขาเกรงใจให้พบ แล้วไปขอให้ท่านมาช่วยแก้ไขให้



ถ้าหาท่านเหล่านั้นไม่พบ ก็คงจะต้องไปหาหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงตา ที่คนเขาเคารพกันทั้งบ้านทั้งเมือง เข้าไปกราบเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง บางทีท่านอาจจะช่วยได้บ้าง แม้มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จน้อย แต่ว่าก็ไม่ถึงกับหมดหนทางเสียทีเดียว ปรากฏว่าหลวงพ่อ หลวงปู่ ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงก็ช่วยไม่ได้ และคนภายนอก ที่เขาเกรงอกเกรงใจก็ไม่มี หรือมีเหมือนกัน แต่ว่าตายไปเสียก่อนแล้ว อย่างนี้ก็ต้องอาศัยบุญมาช่วยกันล่ะ
คือถ้าเขามีบุญเก่าติดตัวมาบ้าง อาจจะทำให้มีการหักเหในชีวิตบางอย่าง ทำให้ได้คิดขึ้นมา เช่น เคยลำเอียงมามาก ถึงคราวถูกลำเอียงเข้าบ้าง เลยได้คิด อย่างนี้พอมีเหมือนกัน แต่ว่าเหมือนปาฏิหาริย์นะ ไม่อย่างนั้น ตัวเขาเอง หรือว่าพ่อแม่พี่น้องของเขา อาจจะไปประสบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง แล้วเกิดความกลัวตาย ทำให้ได้คิดขึ้นมา ก็พอที่จะมีโอกาสที่จะกลับเนื้อกลับตัวได้เหมือนกัน แต่ตรงนี้ค่อนข้างยาก ที่หลวงพ่อพูดมาทั้งหมด ก็แทบจะบอกได้ว่า ใครมีความลำเอียงอยู่ในจิตใจมากๆ แล้ว ทั้งมนุษย์ ทั้งพระ ทั้งเทวดา แก้ยากจริงๆ แทบจะหมดหนทางทีเดียว



ปู่ย่าตาทวดของเราก็เลยทำทางไว้ให้ทางหนึ่ง ซึ่งต้องบอกว่าท่านฉลาดจริงๆ คือ ท่านฝึกลูก ฝึกหลาน กันทั้งบ้านทั้งเมือง ให้หัดทำทานกันเสียบ้าง หัดรักษาศีลกันเสียบ้าง หัดสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนากันเสียบ้าง ไม่ว่าจะเต็มใจ ไม่เต็มใจ ก็ให้ทำๆ กันไปเถอะ ความดีเหล่านี้เมื่อสั่งสมไปนานเข้าๆ ก็พอที่จะกำจัดความรัก ความชัง ความโง่ ความกลัวของคนเรา ออกไปได้ระดับหนึ่ง ซึ่งต้องถือว่าบุญที่ได้ทำไว้ตามมาทัน มาเตือนให้แก้ไขตัวเองหรือไม่อย่างนั้น ก็อาจจะดลอกดลใจให้ได้กัลยาณมิตรชั้นเยี่ยมมาแก้ไข ซึ่งก็เป็นบุญของเขา
สิ่งอื่นนอกจากนี้ยากเหลือเกินที่จะมาแก้ไขความลำเอียงได้ ยกเว้นได้ป้องกัน ได้แก้ไขกันมา ตั้งแต่เด็กๆ เข้าทำนอง ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะไปคิดแก้ไขใคร ถามตัวคุณเองก็แล้วกันว่า เชื้อลำเอียงในตัวของคุณมีไหม ถ้าไม่มี หลวงพ่อก็อนุโมทนาด้วย แต่ถ้ามี วันนี้เริ่มไปแก้ไขเสีย



วิธีจะวัดว่าตัวเรามี ความลำเอียงหรือไม่มีนั้น ทำได้ไม่ยาก โดยถามง่ายๆ ว่าคุณมีลูกกี่คน แล้วคุณรักลูกแต่ละคนเท่ากันไหม ถ้าไม่เท่า ก็แสดงว่าคุณก็มีเชื้อลำเอียง อย่างนั้นรีบแก้เสีย แล้วจะเป็นบุญของคุณและครอบครัว ตลอดจนประเทศชาติอีกด้วย
 :47:

7
ในวันที่เด็กชายวัยมัธยมปลายคนนึง ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ
ต้องเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ในระดับอุดมศึกษา
เขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแบกหามความหวังและความตั้งใจของพ่อแม่และญาติมิตร ที่ต้องการเห็นเค้าเรียนจบ
เนื่องเพราะ เขาเป็นลูกคนโต และต้องส่งน้องอีก2คนเรียนให้จบ พ่อแม่จึงผลักดันเขาเข้ามหาลัย


 :13:เวลา5โมงเย็น :13:

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น...สีหน้าของเด็กชายผู้นั้น ระรี้ระริก ที่จะได้ไปกรุงเทพ ไปเมืองใหญ่
ในหัวของเขาคิดอะไรไปต่างๆนาๆ จากเด็กบ้านนนอกจะเข้าสู่เมืองกรุง


ที่ชานชลามีชายหญิงแก่ๆคู่นึง ยืนมองด้วยความภาคภูมิใจ แสงตะวันยามเย็น บอกเวลาของวันนี้ใกล้จะหมดลง
รถไฟเคลื่อนออกจากชานชลาอย่างช้าๆ เด็กชายผู้นั้น ไม่มีความเศร้าใดๆ เพราะเขาคิดแต่จะไปข้างหน้า ไปข้างหน้า และไปข้างหน้า


ข้างหน้าในความคิดของเขานั้น คงมีอะไรดีๆมากกว่าบ้านนนอกเช่นนี้
โดยไม่รู้เลยว่าชายหญิงแก่ๆคู่นั้น ยืนร้องไห้ที่ลูกต้องออกเดินทางไปไกล ห่างอกพ่อแม่
ตลอดระยะเวลากว่า18ปี ที่เ็กชายคนนี้เกิดมาในบ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นไปด้วยความรัก
เขาไม่เคยออกจากบ้านนานเกิน3วัน จากการเข้าค่ายพักแรม
แต่ตอนนี้ ลูกของเขาได้เดินทางไปไกล เกินจะกลับ


แสงอาทิตย์หมดลงไป มีเพียงกล่องข้าวผัด ในถุงพลาสติกเล็กๆตั้งอยู่ริมหน้าตารถไฟ
ด้วยความหิว เ็ด็กชายผู้นั้นจึงหยิบ ขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย
เพราะชายแก่คนนั้นที่ชานชลา ได้ไปสั่งข้าวผัดอย่างดีจากร้านแถวๆสถานีเพื่อให้ลูก

 :13:ขณะเดียวกัน...
ชายหญิงคู่นั้น เดินทางออกจาสถานี หลังจากรถไฟแล่นออกไปไกลเกินจะมองเห็น
ซื้อแกงถุงละ10บาท2-3ถุง มานั่งกินกับข้าวที่เหลือจากเมื่อเที่ยง
และหลับไปอย่างง่ายดาย ด้วยความเหนื่อยล้า และเพลีย จากการเตรียมของให้ลูกไปกรุงเทพ


รถไฟแล่นผ่านไป เรื่อยๆ เด็กชายคนนี้ไม่หลับตลอดคืน เพราะตื่นเต้นกับการเดินทางไกลออกสู่โลกกว้าง
จนกระทั่งแสงอาทิตย์ดวงเดิมๆเริ่มสาดแสงส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างรถไฟ
สัญญาณบอกว่าอีกไม่นาน เขาก็จะถึงหัวลำโพงแล้ว เขารู้สึกดีใจมาก


 :13:ขณะเดียวกันเวลา6โมงเช้า...
ชายหญิงแก่ๆคู่เดิที่ชานชลาเมื่อวาน เปิดบ้าน พร้อมจัดแจงของต่างๆสำหรับทำงานในวันนี้
ด้วยความคิดถึงลูกชายคนโต หยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าๆ ขึ้นมานั่งดูและรอเสียงโทรกลับจากลูกชาย
หากแต่ไม่กล้าโทรไป เพราะลูกชายคนดีบอกอย่าโทรไปกวน ถ้ามีอะไรจะโทรมาเอง


รถไฟแล่นเข้าสู่สถานีหัวลำโพงอย่างช้าๆ เด็กชายผู้นี้ คงสมใจึกสักที ที่ได้มากรุงเทพ
เขาเดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายเพราะไม่รู้เส้นทาง แสงแดดยามสายสาดส่อง
เขารู้สึกร้อนเหลือเกิน เข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้าเพื่อคลายความร้อนและดูโน้นนี้ากมาย
อย่างกับคนไม่เคยเจอความทันสมัย ตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้นกับลิฟต์และคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ

 :13:ขณะเดียวกันที่ บ้านนอก....
ชายหญิงแก่ๆคู่นั้น ตากแดด เหงื่อไหลหยดแล้ว หยดเล่า ลงบนพื้นถนน ท่ามกลางแดดจ้า และงานหนัก
ไม่มีคำบ้นสักคำว่าร้อน ไม่มีคำบ่นสักคำว่าเหนื่อย เพราะเขาเห็นเงินค่าจ้างวางเป็นตัวล่อ
เพื่อจะได้ส่งเงินให้ลูกไปเรียน ในกรุงเทพ อย่าหายห่วง


เวลาผ่านไปกว่าเดือน ที่ลูกคนนี้หลงระเริงอยู่ในมหาวิทยาลัย ในเมืองกรุง
คืนหนึ่ง เข้ากำลังเฮฮาอยู่กับเพื่อน เสียงมือถือก็ดังขึ้น.......


"My mom" โชว์หราขึ้นบนหน้าจอ
เขารีบกดรับอย่างไม่พอใจ
เขาพูดอย่างห้วนๆ "มีไรเหรอแม่"
เสียงหญิงแก่ๆคนนึงดังขึ้น "แม่รักลูกน่ะ"


ทุกอย่างเงียบสงัดลงท่ามกลางความเหงา วังเวง หดหู่ ละอายใจ นานาอารณ์ถาโถมเข้าใส่เด็กชายวัยรุ่นคนนี้
น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรั่งพรูออกจากสองเบ้าตาอย่างห้ามไม่ได้ เสียงสะอื้น และความคิดถึงบ้านดันทะลักออกมาจากจิตใจ


ด้วยหยาดเหงื่อของแม่ ที่เด็กชายคนนี้สำนึกได้ ทำให้วันนี้เค้าได้รับรางวัลต่างๆมากมาย
และประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นที่ภาคูมิใจของพ่อแม่


ดีน่ะที่ยังไม่สายเกินไป จะทดแทนพระคุณ
:13:


ป้อรักแม่น่ะครับ :19:

8


สิ่งนั้นๆ เป็นเหมือน ของเกลื่อนกลาด
ที่เป็นบาป เก็บกวาด ทิ้งใต้ถุน
ที่เป็นบุญ มีไว้ เพียงเจือจุน
ใช้เป็นคุณ สดวกกาย คล้ายรถเรือ,


หรือบ่าวไพร่ มีไว้ใช้ ใช่ไว้แบก
กลัวตกแตก ใจสั่น ประหวั่นเหลือ
เรากินเกลือ ใช่จะต้อง บูชาเกลือ
บุญเหมือนเรือ มีไว้ขี่ ไปนิพพาน


มิใช่เพื่อ ไว้ประดับ ให้สวยหรู
เที่ยวอวดชู แบกไป ทุกสถาน
หรือลอยล่อง ไปในโลก โอฆกันดาร
ไม่อยากข้าม ขึ้นนิพพาน เสียดายเรือ ฯ


พุทธทาสภิกขุ

หน้า: [1] 2 3