แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - แก้มโขทัย

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10
1
รวบไอ้เสือปล้น-ฆ่าตัวสุดท้าย ระทม หอมดี จอมแหกคุกผู้พิชิตบางขวาง
[/size] 
จากชีวิตเด็กบ้านนอกชาวกรุงเก่า จ.อยุทธยา มาสู่เส้นทางมิจฉาชีพ โดยเป็นโจรชิงทรัพย์ในย่านถนนเพชรบุรีใน กทม. ไปสู่การตัดสินใจปล้นโรงแรม และสุดท้ายก็เป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย

  ชีวิตจึงต้องจบลงที่คุก แต่ด้วยความที่มีจิตใจต้องการอิสระภาพตลอดเวลา มันจึงเริ่มคิดหาวิธีการแหกคุก จนมันทำสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ใช้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่มันสามารถทำสำเร็จถึง 3ครั้ง ไม่เว้นแม้แต่บางขวาง

  เรือนจำใหญ่ยักษ์ที่ไม่มีใครหน้าไหนทำสำเร็จมาก่อน ชื่อนี้มันตั้งให้ตัวเอง เนื่องจากความลำบากยากแค้นของชีวิต ในวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ระทม หอมดี จึงเริ่มดังสะท้านวงการตำรวจในฐานะ เสือตัวสุดท้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด

  เรื่องราวชีวิตของ นายสมชาย หรือเปี๊ยก ดารัสณีย์ ที่พ่อแม่เป็นผู้ตั้งให้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เป็นเด็กน้อยชาว อ.บางไทร จ.อยุทธยา ซึ่งเป็นพี่คนโตของพี่น้อง 3คน ชีวิตในวัยเด็กของไอ้เปี๊ยกได้เข้าเรียนตามการศึกษาภาคบังคับ จนถึง ป4.และออกมาช่วยครอบครัวขายผลไม้ โดยไม่มีแววของจอมโจร แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย

  จนกระทั้งเข้าวัยแตกเนื้อหนุ่ม อายุได้ 19ปี ชีวิตของไอ้เปี๊ยกก็เริ่มพลิกผัน เข้าสู่ความเป็นอาชญากรอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมันตกหลุมรักสาวบ้านเดียวกันคนหนึ่งอยู่ แต่ดูท่าสาวจะไม่เล่นด้วย มันจึงตัดสินใจบุกเข้าฉุด หมายจะเผด็จศึกให้ได้แบบลูกทุ่ง แต่มันโชคร้ายสาวเจ้าสู้สุดฤทธิ์ แถมยังแหกปากร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เป็นเหตุให้มันถูกจับกุมข้อหาอนาจาร แถมข้อหาชิงทรัพย์อีกคดี ทำให้มัต้องเดินเข้าซังเตเป็นครั้งแรก เมื่อศาลตัดสินจำคุก นายสมชาย ดารัสณีย์ เป็นเวลา 2ปี แต่มันติดคุกอยู่ปีกว่าๆก็ได้รับอภัยโทษ ปล่อยตัวออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

  และวันเวลากว่า 1ปีที่มันต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆของคุก จ.อยุทธยา มันได้สั่งสมความชั่วจากโจรรุ่นพี่ไว้อย่างมากมาย แล้วมันก็ให้คำสัญญากับตัวมันไว้ว่า มันจะไม่ยอมเข้าไปใช้ชีวิตในคุกอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

  หลังจากพ้นคุกมาในวัย 21ปี ได้เดินทางมาอยู่ ในย่าน เพชรบุรี โดยไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักแม้แต่คนเดียว บางครั้งมันต้องอาศัยนอนตามป้ายรถเมล์และไม่มีข้าวจะยาไส้ เพราะมันไม่มีบัตรประชาชนไปสมัครงานจึงไม่มีคนกล้ารับเข้าทำงาน จนกระทั้งมาได้งานที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในย่านนั้น ที่รับมันทำงานโดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชน โดยมันเริ่มใช้ชื่อ ระทม หอมดี เป็นครั้งแรก

  เหมือนเป็นการประชดชีวิตที่ทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในวันเวลาที่ผ่านมา แต่ก็ทำอยู่แค่ปีกว่าๆก็ต้องตกงาน อีกครั้งเพราะอู่ปิดกิจการ

  และระหว่างนั้นมันได้รู้จักและสนิทกับแม่ค้าสาวคนหนึ่งจนกลายเป็นความรัก ทั้งคู่จึงอยู่กินกันอย่างสามีภรรยา แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากไอ้เปี๊ยกยังไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง

   และเมื่อเมียมันตั้งท้อง การตัดสินใจเริ่มออกก่อคดีอาชญากรรมจึงเริ่มเกิดขึ้น โดยมีปืนลูกซองสั้นแบบไทยประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า อีโบ๊ะ เป็นอาวุธคู่กาย จน  กระทั้งมันตัดสินใจหาเพื่อนร่วมแก็ง เข้าปล้นโรงแรมอโศกได้เงินไปหลายหมื่นบาท ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ จนเป็นข่าวครึกโคมมากในสมัยนั้น

  และหลังจากนั้นเพียงวันเดียว ขณะที่ไอ้เปี๊ยก และเพื่อนอีก 2คน เดินทางไปธุระย่านคลองตัน เห็นร้านขายของชำมีเพียงผู้หญิงอยู่ในร้านเพียง 3คน มันจึงบุกเข้าปล้นอย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อนได้เงินสดมาอีกกว่า 4หมื่นบาท

  แต่หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์มันก็ถูกตำรวจจับกุมตัวได้ ขณะที่เดินอยู่ย่านเพชรบุรี ไม่ไกลจากโรงแรมที่มันเข้าปล้นมากนัก หลังจากถูกนำตัวขึ้นศาล ดำเนินคดี จนถุกตัดสินจำคุก 13ปี 7เดือน

  แต่เนื่องจากมีข้อหามีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ 4000 บาท ที่ห้งขัง สน.มักกะสัน ก่อนเป็นเวลา 3เดือน

  ขณะนั้นเมียรักของมันยังมาเยี่ยมพร้อมลูกในท้องวัย 3เดือน แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหายไป สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับไอ้ทมเป็นอย่างมาก

  นักโทษชาย ระทม จึงเริ่มสังเกตุดูพฤติกรรมของตำรวจที่มีหน้าที่เฝ้าห้องขัง มันจึงหาใบเลื่อยโดยให้เพื่อนสอดใบเลื่อยไว้ในหลอดยาสีฟัน และมันก็เริ่มเลื่อยลูกกรงไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนทุกครั้งที่มีโอกาส

  แต่ขณะที่มันยังทำไม่สำเร็จ มันก็ใช้หมากฝรั่งวับกับสีพิมพ์ลายนิ้วมือบ้าง เศษผงในห้องข้งบ้าง อัดรอยแยกของลูกกรงที่มันเลื่อยเอาไว้ ซึ่งสามารถพรางตาตำรวจได้เป็นอย่างดี

  จนกระทั้ง มันใช้เวลาเพียง 4 วันงานก็สำเร็จ ที่เหลือคือรอโอกาสที่จะหนีออกไปสู่อิสระภาพ อย่างที่มันตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนติดคุกครั้งแรก

  เที่ยงวันหนึ่ง ปลายเดือน ก.ค.2523 ไอ้ทม ดึงซี่ลูกกรงที่เลื่อยตัดไว้ เรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้องขังขณะที่ไม่มีตำรวจเฝ้า แล้วเดินออกจากโรงพักโดยเดินสวนกับตำรวจ หลายคนหนีออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย !!


  มันหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ย่านชานเมืองแถว ลำหิน-ลำผักชี โดยไม่กล้าเข้ามาในเมือง แม้กระทั้งมาหาลูกเมีย หลังจากเรื่องเงียบลง มันก็กลับไปหาแม่ และได้รู้ข่าวว่าเมียรักของมันเอาลูกสาวของมันมาให้เลี้ยง แล้วก็ไม่เคยย้อนกลับมาอีกเลย

  ไอ้เปี๊ยกจึงเริ่มส่งเงินกลับไปเลี้ยงลูกอย่างสม่ำเสมอ และแอบกลับไปเยี่ยมลูกทุกครั้งที่มีโอกาสเหมือนผู้เป็นพ่อที่ปกติทั่วไป

  โดยมันถลุงแร่เถือนหาเลี้ยงชีพ ในขณะเดียวกันมันก็เริ่มซื้อปืนขนาด .38 แล้วฝึกยิงนก ยิงกระป๋องไปเรื่อย จนมันเริ่มช่ำชองสามารถยิงปืนได้อย่างแม่นยำมาก แต่อาชีพช่างเหมืองแร่เริ่มไปไม่รอด มันจึงย้ายไปทำเหมืองพลอยที่ จ.จันทบุรี ความท้าทายมันมากกว่า แต่มันกลับไปถูกจับคดีพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต

 แต่ด้วยความไม่รอบคอบของตำรวจ ที่ไม่ได้รื้อประวัติอาชญากรอายัดตัวมันในข้อหาอุฉกรรจ์ที่ติดตัวอยู่ยาวเหยียด และมันก็สามารถสู้คดีหลุดรอดคุกออกมาได้อย่างน่าประหลาด !!

  เสือทม  กลับมายังกรุงเทพ เริ่มอาชีพรับเหมาต่อเติมบ้านเล็กๆน้อยๆ จนมาก่อคดียิงขี้เมาคนหนึ่งตายในเขตท้องที่ สน.บางยี่ขัน เมือเดือน มี.ค.2525 และในเดือนเดียวกันนี้ ยังไปก่อคดียิงเจ้าของโรงเลื่อย ที่มันไปติดต่อซื้อไม้ตายในเขต สน.สำราญราษฐร์ เนื่องจากเสี่ยโรงไม้พูดจาไม่เข้าหู และเหยื่อทั้งสองรายก็ถูกไอ้เสือทม ดับด้วยกระสุนเพียงคนละนัดเท่านั้น

  แต่มัก็ถูกจับกุมในเวลาต่อมา จนประชาชนที่ได้รับข่าวก็คิดว่ามันจะต้องสิ้นชื่่อใช้ชีวิตอยู่ในคุกหัวโตแน่

   ขณะที่ตำรวจส่งตัวมันไปสืบพยานที่ศาล จ.ร้อยเอ็ด มันกลับหนีออกมาจากห้องขังใต้ถุนศาลได้ทั้งๆที่มีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่ทั้งแขนและขา สร้างความมึนงงให้แก่เจ้าหน้าที่ศาลเป็นอย่างมาก

  หลังจากนั้น เสือทม ออกอาละวาด ก่อคดีต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มีเงินมันจะกลับไป เยี่ยมลูกสาวที่โตขึ้นทุกวัน โดยมีโอกาสได้อยู่กับลูกเพียงครั้งละไม่เกิน 3วัน แล้วแต่สถานการณ์

  ทุกครั้งที่ลูกถามว่า พ่อไปไหน มันก็จะคอยตอบว่าต้องไปค้าขายที่ต่างจังหวัด จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก ซึ่งมันเป็นการโกหกคำโต ที่สร้างความอึดอัดให้กับตัวเองไม่น้อย

  จนมันร่วมกับพวกอีก 8คน เข้าปล้นร้านทองเจี๋ยนเจี้ยเชียง ย่านสะพานใหม่ ถนนพหลโยธิน เมื่อเทียงวันที่ 14 เม.ย.2528 ขณะที่ร้านทองติดๆกัน ปิดร้านกันหมดเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์

 

มีต่อตอนแหกคุกบางขวาง


 
 

2
บทความ (Blog) / รัก...เกิดจากอะไร
« เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 11:18:34 am »

รักที่เกิดจากการสบตาครั้งแรก
    เป็นรักที่ลึกลับที่สุด และอาจทำให้มนุษย์เจ้าเหตุผลหลายคน
จำต้องคิดถึงสิ่งไร้เหตุผลต้นปลาย
หรือไม่ก็จำนนให้กับความเชื่อเรื่อง ‘ต้นเหตุที่ถูกลืม’ เช่นอดีตชาติ

    เพราะความรักชนิดนี้อาจพาไปสู่การร่วมอยู่กินตลอดชีวิต
เพียงด้วยความรู้สึกตั้งแต่แรกพบว่า ‘คนนี้คู่เรา’
และพบในนาทีสุดท้ายยามตายจากกันว่า ‘อย่างนี้ก็มีจริง’
น้ำตาอาลัยและความมั่นใจว่าจะได้พบกันอีก
คือบทสรุปที่ทำให้รักลึกลับชนิดนี้เป็นที่กระจ่างขึ้น

รักที่เกิดจากการเกื้อกูลกันและกัน
   เป็นรักที่เริ่มจากความปรองดอง มีความรู้สึกแสนดี อบอุ่น
และสุขสบายภายในรัศมีสายตาของอีกฝ่าย
อย่างรู้ว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน มีความเสมอกัน

รักชนิดนี้เป็นสิ่งมีที่มาที่ไป
   และชวนให้เห็นว่าความรักหาใช่สิ่งมหัศจรรย์เกินความเข้าใจ
ปัญหาก็คือชั่วชีวิตคนๆหนึ่ง
อาจไม่พบใครที่เต็มใจให้ความร่วมมือเกื้อกูลกันมากพอเลยสักครั้งเดียว

รักที่เกิดจากความใกล้ชิด
    เป็นรักที่อาศัยการอยู่ด้วยกันบ่อยๆ
ใกล้กระแสกายกระแสใจของอีกฝ่ายแล้วไม่รู้สึกขัดแย้ง ไม่เกิดความรังเกียจ
หญิงชายที่เข้าข่ายดังกล่าว
จะพบว่าเพียงใกล้กายธรรมชาติระหว่างเพศก็ทำงานแล้ว
ดึงดูดให้อยากประกบติดกันได้แล้ว

    รักชนิดนี้อาจดูเป็นจริงเป็นจังและมีตัวตนจับต้องได้
ต่อเมื่อลองพยายามจับต้องให้มั่นมือ
จึงรู้ว่าจริงหรือเก๊ แข็งหรือเหลว คงทนหรือละลายเร็วกันแน่

รักที่เกิดจากการคุยถูกคอ
   เป็นรักที่นับว่ามีพื้นฐานดีระดับหนึ่ง
เพราะการคุยกันถูกคอมักหมายถึงการพูดกันรู้เรื่อง
รวมทั้งมีเรื่องที่สื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้
แต่การพูดคุยมิใช่ทั้งหมดของการอยู่ร่วมกัน
หากความแตกต่างด้านอื่นชวนให้ไม่สนุก
เกิดความสนุกจากการคุยอย่างเดียว
ในระยะยาวจะคุยแล้วสนุกน้อยลงเรื่อยๆ
หรือกระทั่งยิ่งคุยยิ่งเป็นทุกข์ อยากเมินหนีออกไปทุกที

รักที่เกิดจากการคุยแบบไม่เคยเจอตัว
   เป็นรักที่มีเสน่ห์วาบหวาม เพราะอาจไม่ต้องยืนพื้นอยู่บน ‘โลกความจริง’ ใดๆ
อาศัยเพียงจินตนาการอันเกิดจากลีลาเจรจาท่าเดียวพอ
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตกลายเป็น ‘อีกโลกความจริงหนึ่ง’
ที่รักชนิดนี้เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่
และอาจพังลงด้วยความหนาวเย็น
เพียงเมื่อปรากฏ ‘ที่สุดของความจริง’ ยามเจอตัวกัน
น้อยนักที่ความจริงกับเรื่องเหนือจริงในจินตนาการ จะประจบกันได้สนิท

รักที่เกิดจากความเห็นใจ
   เป็นรักที่น่าสับสน
เพราะคนเรามักแยกไม่ออกว่า
‘ความรัก’ กับความ ‘สงสารมาก’ ต่างกันตรงไหน

    คนบางคนสมควรได้รับการสงสาร
ไม่ใช่เพราะเรียกร้องความสงสาร
แต่เพราะเหมือนเป็นคนดีตกยาก
เหมือนลูกหมาลูกแมวน่ารักที่ตุหรัดตุเหร่หาคนเลี้ยงดู

    เมื่อตรงมาทางเราแล้วปฏิเสธ
ก็เหมือนใจไม้ไส้ระกำจนชวนให้รู้สึกผิดรุนแรง ไม่อาจทนดูดาย
รักที่มีแต่ความสงสารและเห็นใจอย่างเดียว
อาจจบลงด้วยโศกนาฏกรรมในทางใดทางหนึ่ง
ไม่ทางกายก็ทางจิตวิญญาณ

    เพราะในระยะยาวมนุษย์ทุกคนต้องเห็นใจตัวเองก่อนคนอื่น
ไม่อาจทนเสียสละให้กับความน่าสงสารของคนอื่น
แล้วปล่อยให้ทั้งชีวิตของตนเต็มไปด้วยความน่าสงสารนานัปการไหว

รักที่เกิดจากความคิดอยากตอบแทน
    เป็นรักที่มาพร้อมกับความรู้สึกถูกรู้สึกผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตระหนักว่าทางเดียวที่จะตอบแทน
คือการมอบความรักความพิศวาสใหักับผู้ทรงพระคุณซึ่งมาสนใจตน

    ภาคหนึ่งของความรู้สึกจะถูกต้อง
ในขณะที่อีกภาคจะบาดใจและเต็มไปด้วยความ ‘ผิดปกติ’
รักชนิดนี้เหมือนการหลอกตัวเอง หลอกคนอื่น
กระทั่งนานถึงจุดหนึ่งจะรู้ซึ้งว่ารักหลอกเป็นอย่างไร ทรมานใจได้แค่ไหน

รักที่เกิดจากการได้รับความเอาใจใส่ยิ่งยวด
   เป็นรักที่อีกฝ่ายยอมตนเป็นข้าทาส ปล่อยให้ตนเอาแต่ใจได้ทุกอย่าง
รักชนิดนี้เป็นอารมณ์ใจอ่อนและไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า
หรือรู้สึกผิดเกินกว่าจะหลอกใช้โดยไม่ให้อะไรตอบแทน
ก้ำกึ่งอยู่ในระหว่างการเห็นค่า
กับการไม่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
รู้เพียงถ้ามีอีกฝ่ายอยู่ ตนจะได้ทุกสิ่งราวเจ้าชายหรือเจ้าหญิง
แต่ก็พร้อมจะเย็นชาหรือเมินหน้าหนีเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบตัวเลือกอื่นที่คุณสมบัติพร้อมกว่ากัน

รักที่เกิดจากความหลงรูปสมบัติภายนอก
    เป็นรักที่ปล่อยให้อิทธิพลของรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง
หรือลักษณะทางกายภาพอื่นๆเข้าครอบงำ
รักชนิดนี้ไม่มีหลักค้ำ ไม่มีฐานยืน เลื่อนลอย
และต้องออกแรงจนเลือดตาแทบกระเด็น
เพื่อหาเหตุผลสนับสนุนว่าเป็นรักที่สมควรแล้ว
ซึ่งเพียงไม่กี่วันก็อาจพบว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี กับการรักษาความรักไว้เพื่อความเหนื่อยเปล่า

รักที่เกิดจากการหลงภาพลวงตา
   เป็นรักที่ยืนอยู่บนมายา
ฝ่ายหนึ่งอาจหวังผล
จึงสร้างนิสัยน่ารักน่าใคร่ขึ้นมาล่อตาล่อใจให้หลงติด
รักชนิดนี้อาจเรียกแรงทะยานได้ขนาดถูกฉุดให้หัวปักหัวปำ
ยิ่งถลำลึกลงไปในกับดักหรือเหยื่อล่อมากขึ้นเพียงใด
หูตาก็ยิ่งมืดมัว เห็นผิดเป็นชอบ
เห็นกงจักรเป็นดอกบัวมากขึ้นเท่านั้น

    รู้ทั้งรู้อยู่ในส่วนลึกว่าถูกหลอกใช้
แต่ความคิดก็ถูกดึงให้ปักใจศรัทธาในเรื่องหลอก
ขอให้ได้บอกตัวเองว่าอีกฝ่ายรักตน แคร์ตนเท่านั้นพอ
จะยอมบุกน้ำลุยไฟหรือกระทั่งตกนรกทั้งเป็นก็ยังไหว

รักที่เกิดจากความเกลียด
    เป็นรักที่ซับซ้อน อาจเริ่มมาจากความเหนื่อยล้า
เคยแค้นมาก จ้องจับผิดมาก ด่ามาก
กระทั่งใจผูกอยู่กับอีกฝ่ายอย่างเหนียวแน่น
และบีบให้ต้องรู้รายละเอียดของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
จนต้องยอมรับข้อดี
แล้วเกิดแรงดันของความอยากขออภัย
หรืออยากให้อภัย หรืออยากญาติดีกัน

    นั่นเองพลังความเกลียดหรือความแค้นเก่าๆ จึงแปรตัวเป็นราคะ
เพราะไฟโทสะเป็นญาติสนิทกับไฟราคะ ต่างก็เป็นไฟมืดด้วยกัน
มีกิจเป็นการเผาผลาญให้ใจเกิดความร้อนรุ่มเหมือนๆกัน
เคยเกลียดแรงแค่ไหนก็กลายเป็นราคะแรงแค่นั้น

    รักชนิดนี้อาจเต็มไปด้วยความไม่ได้อย่างใจ ระหองระแหง
กลับไปกลับมาระหว่างเห็นข้อดีและจับผิดเพ่งโทษ

รักยังมีเหตุอีกมาก แต่บางความรักก็ไม่ใช่ความรัก
เช่นรักความรวยนั้น เป็นคนละเรื่องกันกับรักคนรวย
ความรวยอย่างเดียว ไม่มีทางเป็นเหตุแห่ง ‘ความรู้สึกรักคน’ ได้เลย

รักระหว่างหญิงชายจะเกิดจากเหตุอันใด
ยืนพื้นอยู่บนบุญบาปแบบไหนก็ตาม
ท้ายสุดก็มีฤทธิ์ผูกใจไว้ ไม่ให้ได้เป็นไทในตนเอง
จนกว่าใครจะแสวงหา ''ความรักอิสรภาพทางใจ''
และพบกับรักชนิดนั้นจริง จึงยุติการสร้างเหตุแห่งทุกข์
รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งลงเสียได้อย่างถาวร


แล้วความรักของคุณอ่ะ เกิดจากอะไร

[wma=300,50]http://dc199.4shared.com/img/393193205/64d8a3b8/dlink__2Fdownload_2FTM0j6I7O_3Ftsid_3D20100928-001730-cd5d5954/preview.wma[/wma]

3
บทความ (Blog) / กลับไปก็ไม่รักเธอเหมือนเดิม
« เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 09:28:05 am »
ความรัก . . . กับ . . . อารมณ์ เหมือนซ้ายและขวา
ถ้าคิดจะรัก ต้องมีสติ คิดไตร่ตรอง
เพราะความรัก . . . มีสองฟาก
  ถ้ามีสิ่งดีๆ อีกฟากหนึ่งมักมีสิ่งร้ายๆ เสมอ
อย่าเอาอารมณ์มาตัดสินความรัก
เพราะความรักมักสวนทางกับอารมณ์ . . .
  สำหรับคนที่มีอารมณ์ . . . เหนือ . . . ความรัก
มักจะทำให้ “รัก” กลาย เป็นบ่อเกิด แห่งการร้างลา . . .
พอพายุผ่านไปแล้ว . . .
ถึงจะรู้สึกว่าศูนย์เสียสิ่งที่มีค่าในชีวิตไป
เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ . . .
  อย่าปล่อยให้ อารมณ์ลิขิตความรัก
ลองทบทวนสิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกัน
และถ้ายังรู้สึกดีๆ ที่จะรักอยู่ . . .
ก็จงอย่าริที่จะเลิกรัก
  แต่สำหรับบางคน . . .
ลองตั้งคำถาม กับตัวเองมาหลายครั้ง
ทบทวนเรื่องราวมาหลายครา . . .
ก็ยังหาความรู้ดีๆ ของคนรักไม่เจอ
  หากเป็นเช่นนี้ . . .
ก็จง “เลิกรัก” เถิด
แต่ขอให้เลิกแบบ มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน
เผื่อสักวันจะกลับมา รักกันอีก . . .



[wma=300,50]http://dc176.4shared.com/img/390545155/6c6b2a42/dlink__2Fdownload_2FfLwIbjKk_2F_5Fonline.wma_3Ftsid_3D20100923-222811-233185c5/preview.wma[/wma]

4


[wma=300,50]http://dc223.4shared.com/img/372547458/3c0d5f84/dlink__2Fdownload_2Fg4pU1r4x_3Ftsid_3D20100829-173043-d621d04a/preview.wma[/wma]


ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง มีแขวนกระดิ่งเล็กๆไว้ที่ประตูร้าน ทุกครั้งที่มีแขกเข้าร้าน ก็จะทำให้กระดิ่ง นั้นส่งเสียงดัง `Ding Ding`

 วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปีเข้ามาในร้านกาแฟนี้  เจ้าของร้านสาวสวยก็รีบออกมาต้อนรับให้เขานั่งด้านใน

“กาแฟแก้วนึงครับ”

“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” 

เจ้าของร้านสาวพูดพลางยิ้มให้อย่างมีมารยาทแล้วก็ไปบดเม็ดกาแฟและตั้งกา ต้มกาแฟ ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวอยู่ตลอด ไม่นานนัก เจ้าของร้านสาวก็นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะชายหนุ่ม

“ขอบคุณครับ คุณเพิ่งมาเป็นครั้งแรกใช่ไหม? ” 

“ รู้สึกว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้างคะ?”   เจ้าของร้านสาวถาม

“ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยครับ”

“ฉันก็ชอบบรรยากาศของร้านนี้มากเหมือนกันถึงแม้ว่ากิจการร้านนี้ไม่ค่อยดี นัก ฉันกับสามีก็เสียดายไม่อยากจะปิดร้านทิ้ง”  ทั้งคู่เงียบไปสักพัก

“ผมขอถามอะไรคุณบางอย่างได้ไหมครับ? เอ่อ... ก่อนที่จะถามคุณ ผมอยากจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้คุณ “ฟังก่อน” ชายหนุ่มพูดถามขึ้นมา

“ได้ค่ะ คุณพูดมาได้เลย” เจ้าของร้านสาวก็สนใจที่จะฟัง

ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งผ่านมานานมากแล้ว

“เมื่อก่อนผมมีแฟนคนหนึ่ง เราสองคนก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตแล้วความรักของเรา สองคนนั้นถึงแม้จะธรรมดา แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะผมรักเธอมาก เพียงแค่มีเธออยู่ข้างๆผมก็มี ความสุขมากแล้ว แต่ทว่า ความสุขอันนี้มันช่างสั้นนัก หลังจากนั้นก็มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ก่อนหน้าพิธีหมั้นของเราสองคนหนึ่งเดือน คืนนั้นผมมีธุระต้องทำ จึงไม่สามารถไปส่งเธอกลับบ้านได้ ในคืนนั้น เธอโดนคนร้ายรุมข่มขืน...”

“ แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรคะ?  ความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปหรือ?”  เจ้าของร้านสาวถามด้วยความสงสาร

“ถึงแม้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ความรักของผมที่มีให้เธอก็คงยังมั่นคงมิได้แปรเปลี่ยนเลยสักนิด ผมก็ ตั้งใจจะจัดพิธีหมั้นขึ้นตามเดิม แต่... เธอคิดไม่ตก เธอเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นเธอคนเดิมแล้ว ในวันหมั้นของเราสองคนวันนั้น เธอผูกคอตาย โชคยังดีที่ว่าพวกเราพบเธอได้เร็ว ช่วยชีวิตเธอไว้ได้แต่เพราะว่าสมองขาดออกซิเจนนานเกินไป ทำให้เธออยู่ในสภาพไม่มีความรู้สึกตัว และอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้... สุดท้าย เธอก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผมรู้ว่าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบไปหาเธอ แต่พ่อแม่เธอขวางกั้นผมไว้ไม่ให้ไปพบเธอ พวกเขาคุกเข่าลงมาขอร้องผม

พูดว่าลูกสาวเขาตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอมาก ตอนนี้  กลายเป็นว่าความทรงจำบางส่วนได้หายไป หมอบอกว่าเมื่อคโดนกระตุ้นจิตใจอย่างแรง ก็อาจจะเลือกที่จะหลบหลีกความทางจำอันนั้นโดยการฝังลึกไว้ในใจตัวเอง ไม่ต้องการที่จะจำเรื่องเลวร้ายนั้นอีก  เธอ ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาด้วย พ่อแม่เธอขอร้องให้ผมอย่าเพิ่งไปพบเธอสักพัก เขาไม่ต้องการให้เธอนึกถึงเรื่องน่าเศร้านั้นอีกเพราะกลัวว่าเธอจะฆ่าตัวตาย อีก ผมให้สัญญากับพ่อแม่ของเธอไว้ว่าจะไม่ไปพบเธอก่อนจะครบสิบปี ถึง แม้จะบังเอิญเจอกันในที่อื่น ก็จะทำเป็นไม่รู้จัก ไม่ทักทายกันเด็ดขาด ช่วงเวลานั้นมันช่างทรมานยิ่งนัก อยากรักเธอ แต่ไม่อาจทำได้ อยากจะพบหน้าเธอ แต่ก็ไปพบไม่ได้ วันนี้ เป็นวันครบสิบปีนั้นแล้ว”

“ขอแสดงความยินดีให้ด้วยค่ะ คุณรอคอยมาสิบปีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็สามารถไปพบเธอได้แล้ว”

“ใช่ครับ แต่... ยิ่งใกล้ถึงเวลานี้ ผมก็ยิ่งกลัว สิบปีที่ผ่านมานี้ ความรักผมนั้นยังไม่เปลี่ยน แต่ตัวเธอล่ะ? ถ้าผมเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังเธอก็ยังจำผมไม่ได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ? หรือว่าเธอได้แต่งงานไปแล้ว ผมควรจะทำเช่นไรดี? เพราะเช่นนี้ ผมอยากจะถามคุณว่า คุณคิดอย่างไร? ถ้าแฟนผมคนนี้แต่งงานไปแล้ว ผมควรจะบอกให้เธอ ได้รับรู้เรื่องนี้มั้ย?”

เจ้าของร้านสาวก็พูดอย่างจริงใจว่า “ถ้าสมมุติว่าเธอมีแฟนแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ แต่งงานกัน คุณยังมีโอกาส แต่ถ้าเธอคนนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว คุณก็ไม่ควรไปทำลายครอบครัวเขา” ชายหนุ่มได้รับฟังแล้ว ก็แค่ตอบสั้นๆด้วยความผิดหวัง...

“นั่นสินะ...”  `Ding Ding` พอดีเวลานี้ก็มีแขกคนอื่นเข้ามาในร้าน

เจ้าของร้านสาวก็พูดกับชายหนุ่มว่า “ฉันต้องไปต้อนรับแขกแล้ว  เชิญตามสบายนะคะ”

เธอเดินออกไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาถามเขาว่า
“จริงสิ คุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยสนิทกับฉัน มากนัก ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังล่ะคะ?”

ชายหนุ่มคิดสักครู่ถึงตอบออกมา “เพราะว่า เธอคนนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า หลังแต่งงานแล้ว เธออยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆอย่างนี้เหมือนกัน”

“อ๋อ อย่างนี้เองหรือคะ”  พูดจบเธอก็หันหลังกลับเดินไปต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่

ชายหนุ่มมองตามร่างของเจ้าของร้านสาวนั้น น้ำตาเขาค่อยๆหยาดไหลออกมา เขาตัดสินใจไม่บอกเธอว่า แท้จริงแล้วเขามาที่ร้านนี้เพื่ออะไร แฟนของเขาคนนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอนั้นมันช่างไกลยิ่งนัก กาแฟในแก้วนั้น ก็ไม่รู้เย็นลงตั้งแต่เมื่อไหร่...

5



ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร)
กาลามสูตร

ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา

2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา

3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ

4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์

5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก

6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน

7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว

9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้

10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง

ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำหรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม

ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้วท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง

หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเนปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป

วิเคราะห์คำว่า “อรหันต์”

“อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้น ทุกอย่างมีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ ผมก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่างตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตรแปลว่าผู้เหนือโลกย์พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณอุตร” ไม่เรียก “อุตรโสณ” คำว่าหลวงปู่ใหญ่หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจ แบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนา ไปกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ. 5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรมเช่น หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรมหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปานท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหันต์) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนักเพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร

 

ปริเฉทหนึ่ง

กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา คำบรรยายของ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร ) และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้น พบ ณ ซากศิลา วัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปี พระเจ้าอโศก มหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึง อาราธนาพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้

1. พระมัชฌันติกเถระ ปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง

2. พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์ ์ในปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง

3. พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน แห่งหนึ่ง

4. พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง

5. พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี) แห่งหนึ่ง

6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ใน ดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง

7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น) แห่งหนึ่ง

8. พระโสณเถระกับพระอุตร เถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ

ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมาช้านานฝ่ายไทยอ้าง นครปฐมเป็น ราชธานีของสุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตน คือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้าง อย่างไรก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่าเริ่มแต่รามัญประเทศไปจรด เมืองญวนและตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมะลายูหรือที่เรียกว่าอินโดจีนเป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับ สั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดน ที่มีเป็นประเทศมอญและไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่า อินเดีย เป็นชมพูทวีปกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใคร ในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่า ประเทศของตนเป็นสุวรรณภูมิ จึงเป็นการถูกต้องด้วยกัน ทั้งนั้นไม่มีปัญหา ที่ไทยอ้างนครปฐม เป็นราชธานีนั้นก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศ กว้างขวางและ มีโบราณวัตถุสถานสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่ากระไรในครั้งกระนั้นได้แค่สันนิษฐานเห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเองชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กันแพร่หลายไปถึงอินเดียและลังกาจนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณกับพระอุตรได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานสถานที่เมืองสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า “พระปฐมเจดีย์” หมายความว่า เป็นพระเจดีย์องค์ ์แรกที่ได้สร้างขึ้นในแถบ ประเทศตะวันออกนี้

ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิศดารยิ่งขึ้นโดยกล่าวถึงคณะพระธรรมฑูตได้เดินทาง มาเผยแพร่ พระพุทธศาสนาโดยทางเรือประกอบด้วย พระโสณะเถระ พระอุตรเถระ พระมูนิยะ พระฌานียะ พระภูริยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ พระสามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนาง พราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตรและได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีไทยโดยถือ แบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิษุณีโดยบวชหรือบรรชาไม่มีเรือนออกจาก เรือน (อาคารสมา อนาคาริย ปพพชชา)ได้วางวิธี ีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ)รับสั่งให้ ้มนขอมพิสนุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ. 238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาฏิโมกข์จบหลายองค์แล้วจึงวางวิธีสวดสาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล้องเมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชณาย กัน จริง ๆ ท่านให้มนต์ขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธีเมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบสวดมนต์ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา ท่านได้วางวิธีกฐินและธุดงค์ ไปในเมืองต่าง ๆ คือ การเที่ยวจาริก >>

การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมุติพระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมุติสงฆ์ ส่วนพระธรรม นั้นเป็นเพียงเสียงสวดท่านจึงใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทนพระธรรม กับมีมิค (มิ–คะ)คือสัตว์ประเภท กวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมาย ในสมัยสุวรรณภูมิ

พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มี การสร้าง หรือ ออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลัษณะด้วยกันคือ (ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ปรินิพพาน) มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑลมี 3 วงซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนาม ว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบโปรดสหาย พระยศส่วนปางมารวิชัยและปางสมาธิมีทุกสมัย

ต่อมาในปี พ.ศ. 239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็น หัวหน้า 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตรแคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปีพระญาณจรณะ (ทองดี)ท่านนี้ปรากฏ หลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะ อวบอ้วนคล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือ บวชทีหลัง คนชั้นหลังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นองค์เดียวกับพระมหา กัจจายนะเถระเจ้า และเรียกเพี้ยนเป็นพระสังขจายเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรมพุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามีเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้นไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญานจรณะ (ทองดี)บรรลุอรหันต์และจบกิจนานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณาก็ยากที่จะตัดสินว่าเป็นพุทธสาวก องค์ใดกันแน่อาจจะเป็นพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ปางเนรมิตวรกายก็ได้ อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะ ด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี)

ลุปี พ.ศ. 245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้าราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณะใกล้ ้นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานธรรมวินัย ใน พระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น

หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอย องค์ ลักษณะนั่ง ลักษณะนั่งห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่า โสณเถร ด้านล่าง อุตตรเถ (ร) ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิ มีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ ผู้ค้นพบทุบเล่น 3 องค์ เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระมูนียะเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรมสมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง

จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตร ก็คืออุดร)เป็นปัญหาว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดรไม่มีใครรู้จัก พระโสณะเถระ ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่คือพระอุตร มีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ - อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่แต่มีความเคารพ องค์พี่มากต้องกราบองค์พี่แต่เหตุที่บรรลุก่อนพี่ชายจึงเรียกโสณ - อุตรไม่เรียก อุตร - โสณะฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตร นั่นเองเจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์ (โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสอุดรพระโลกอุดร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดความ คิดจัดกลุ่มพระเทพโลกอุดรขึ้น และเขียนเรื่องลงในวารสารพระเครื่อง โดยแบ่งกลุ่มออกดังนี้ กลุ่มที่ 1 มีพระโสณ อุตร กลุ่มที่ 2 พระมูนียะหรือหลวงปู่โพรงโพ เป็นเอกเทศ กลุ่มที่ 3 พระณานียะ (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) พระภูริยะ (หลวงปู่หน้าปาน) รวมเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน แต่ไม่เป็นการถูกต้องตามข้อเท็จจริง ได้เกิดนิมิตครั้งแรกพบเพียง พระอุตร เถระเจ้า ปรากฏกายเพียงครึ่งท่อน (สอบแล้วตรงกับคนใต้ท่านหนึ่ง) ท่านบินเข้าสู่โดยลักษณาการที่รวดเร็วยิ่ง ตรงเข้ากอดรัดด้วยความเมตตา ผมทัดท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” ท่านยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” ขอให้ลูกจงหลุดจากการยึดมั่นถือมั่น ท่านสอนธรรมง่าย ๆ แต่มันลึกและ เป็นขั้นสูง ไม่ธรรมดา ท่านมาองค์เดียว ท่านอภิชิโตภิกขุก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่อยู่องค์เดียว นอกนั้นก็เป็นเพียงศิษย์ในสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ได้คุยให้ใคร ฟังมากนักเกรงจะไม่เชื่อ คนที่มาหาก็ชอบแต่ส่องพระด้วยแว่นไม่ส่องด้วยจิต และผมจะดีใจในเมื่อพบคนส่องพระทางจิตคุยกัน ถูกคออยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์บุญส่ง สามผ่องบุญ โรงเรียนทวีธาภิเศกได้มาเยือนผมถึงบ้านพักท่านมาด้วยกันหลายคน พร้อมภรรยา แต่ทิ้งไว้ในรถยนต์ ท่านเล่าว่าที่มานี้ก็เพราะได้รับประสบการณ์ คือ มีพรรคพวกของท่านคนหนึ่งแขวนพระพิมพ์โลกอุดร รุ่นเทิดพระเกียรติวังหน้า พิมพ์ปิดตาสี่กร เกิดไปปะทะกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าอย่างจังแต่หาอันตรายอันใดมิได้ พระพิมพ์วิเศษชนิดนี้หากเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่เขานิยมกัน องค์ละ 3 ล้าน 3 องค์มาแลกอย่าได้เอา แล้วท่านก็แนะนำตนเองว่าได้ฝึกฝนในด้านสมาธิมานาน จบธรรมกายอรหันต์ละเอียดแล้ว ไปศึกษาพุทโธสาย ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ละเลิกการติดฤทธิ์แล้ว ตัวท่านเองรู้จักกับพระภิกษุและวัดต่าง ๆ ใน กทม. มากมาย แต่น่าอัศจรรย์ใจ คือมีบุคคลท่านหนึ่ง ประสงค์จะอุปสมบท และขอร้องให้ท่านช่วยไปหาสำนักที่ดี ๆ ให้ด้วยท่านพาดุ่มไปยังหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกับสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้นมาก่อนเป็นสมภาร หนุ่ม เรียนจบขั้นปริญญาโทจากต่างประเทศ และมีภาพพระเทพโลกอุดร ขนาดใหญ่ตั้งบูชาอยู่ ท่านอาจารย์บุญส่งก็ถามว่า “อาจารย์ก็นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดร- เหมือนกันหรือ” ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า “ใช่ เคารพนับถือมาก” ทันใดนั้นท่านอาจารย์บุญส่งก็กำหนดจิตไปยัง เจ้าอาวาส ปรากฎเป็นพระเทพโลกอุดรทาบร่างเจ้าอาวาสมีรัศมีทองคำแพรวพราว และสอนธรรมประโยคหนึ่งก็คือสอนท่านอาจารย์บุญส่งแหละ ผมรีบถามขึ้นว่า “ท่านสอนว่ากระไรทีนี้ผมจะสอบอาจารย์บ้างล่ะ"ท่านอาจารย์บุญส่งตอบว่า “ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น” ผมจึงสิ้นฤทธิ์ไม่ติดฤทธิ์ต่อไป ผมจึงตอบ ท่าน อาจารย์บุญส่งว่า “ใช่ครับเป็นคำสอนของหลวงปู่ใหญ่ ผมขอรับรอง ไม่ใช่คำพูดของเจ้าอาวาส” ตัวผมเองไม่ได้ฌานได้ญาณ อะไรกับเขาหรอก ท่านอาจารย์บุญส่งไม่เรียกผมอาจารย์ขอเรียกพี่ ครั้นแล้วท่านอาจารย์บุญส่งก็เล่นงานผมเข้าให้บ้างแผล็บเดียวก็คุก เข่าก้มลงกราบ ผมถามว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้” อาจารย์บุญส่งไม่ตอบ เรียกคนในรถทุกคนให้ขึ้นบ้านบอกว่าเข้ามากราบได้สนิทผม ก็ยิ่งสงสัยว่า นี่มันอะไรกันท่านอาจารย์บุญส่งจึงไขข้อปัญหาว่า “ "พี่ก็เป็นอย่างเดียวกับท่านเจ้าอาวาสนั่นแหละเพียงแต่รังสีไม่เฉิดฉายเท่ากับท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าพี่เป็นคนของหลวงปู่และสิ้นการสงสัย" ต่อจากนั้นท่านก็ทำนายทาย ทักว่าผมจะเจ็บป่วยอีกครั้งและกำหนดระยะเวลาให้ซึ่ง ผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดีทำการผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดีและพักอยู่นานวัน ท่านสงสารในสุขภาพของผม ท่านบอกว่าเรามาถ่ายทอดพลังปราณกันเถอะ แล้วเราก็เอามือทั้งสองยันกันทำสมาธิถ่ายทอดพลังลมปราณสู่กัน ท่านถ่ายทอด พลังเย็นคืออาโปธาตุสู่ตัวผมผมเองก็ถ่ายไปตามเรื่อง ท่านบอกว่าของผมเป็นเตโชพลังร้อนซึ่งก็เป็นความจริง ก่อนที่ท่านจะลากลับ ผมแจกพระพิมพ์โลกอุดรเป็นที่ระลึกให้กับท่านและผู้ติดตาม และเห็นท่านเดินไปทางหลังบ้าน คิดว่าจะเข้าห้องน้ำปรากฎ ความจริงว่าท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให ้กับลูกสาวผมไว้ โดยที่ลูกสาวไม่รู้เรื่องและปฏิเสธ ภายหลังท่านพยายามยัดเยียดเงินให้แล้ว รีบเดินทางกลับ หลังจากนั้นเราไม่ได้พบกันอีก ท่านเป็นคนดีมาก คนหนึ่ง

คำสอนของหลวงปู่เป็นตัวสุดท้ายในมหาสติปัฎฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อย่างที่เขาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ไม่ติดมันก็หลุด ก็ไม่รู้จำะหลุดอย่างไร ตามความเข้าใจของผม ธรรมตัวนี้ก็คือ สภาวะธรรม มันแปรเปลี่ยนไม่คงที่คือทุกข์ การทนอยู่ ู่ไม่ได้สิ่งที่มีชีวิตและปราศจากชีวิตมันเสื่อมสิ้น ไปตามสภาวะธรรมไม่ยืนยงคงที่ หลวงปู่จึง ให้ปริศนาว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” เมื่อมันไม่ดำรงคงที่ มันก็ไม่ เที่ยงนะซี มันทุกข์อนิจจ ก็เมื่อมันไร้สาระเช่นนี้จะไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนทำไม อนัตตา สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ติ ถ้าจะตัดรูปนาม ปล่อยเวทนาสัญญาไว้ ละเพียงสังขาร เครื่องปรุงแต่งจิตอันเป็นตัวอุปาทาน ตัดตัวนี้เปรียบเหมือนการตัดคัดเอ้าท์สวิทช์ไฟฟ้า ไฟฟ้าดวง อื่นพากันดับหมด เป็น สุญญตนิพพาน ท่านอาจารย์วิชัย แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาจม เชียงราย เคยนำมาแสดงธรรมในรายการธัมมะทาง ที.วี. ผมฟังแล้วถึงกับ ก้มลงกราบเพราะความถูกใจไปเรียนให้มากทำไม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) อบรมสั่งสอน สานุศิษย์ให้ไหว้ 5 ครั้ง ให้มีศีลบริบูรณ์ ไหว้พระเสร็จให้ทำสมาธิ ก่อนตายให้พิจารณาถึง สัพเพธัมมาอนัตตา จะไม่กลับมาเกิดอีก จึงว่าหลวงปู่ท่านสอนตามขั้นภูมิธรรมปัญญาฟังดูง่าย ๆ แต่ทำยาก

นิมิตครั้งที่ 2 พบกับพระโสณเถระเจ้า ท่านมากับพระอิเกสาโร จิตผมทราบทันทีว่าเป็นหลวงปู่องค์ที่สองรูปกายท่าน สูงใหญ่เกสายาวประมาณ 1 องคุลี ผมคิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะได้เกสาของท่านไว้บูชา หลวงปู่เรียกผมเข้าไปใกล้ ผมก้มลงกราบท่าน ๆ ยิ้มด้วยความปราณี ยกมือลูบศรีษะ ของผมพลางเรียกชื่อ ท่านมิได้กล่าวธรรมอันใด ส่วนองค์ที่นั่งถัดไป ประมาณ 4 วา ปรากฎเกสายาว คลุมด้านหลังห่มจีวรสีกรัก แสดงว่าเป็นพระอิเกสาโร (เกสา แปลว่าผม) มิได้กล่าวธรรมใดเช่นกัน แสดงชัดว่าพระอิเกสาโรเป็นสานุศิษย์ พระโสณะ ภาพนิมิตเลือนหายไปปรากฎเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ร่างกายใหญ่ ยืนเทียบแล้วยังสูงไม่พ้นไหล่ท่าน มีขนตายาวพิเศษ ประกอบอารมณ์ขัน ท่านยกมือลูบศรีษะของผมพลางกล่าวว่า “ลงศีรษะมากมายจริง” ทันใดนั้นท่านก็หัวเราะก๊าก ผลักผมกระเด็นไป ประมาณ 2 วา แล้วกล่าวว่า “โอ้โฮมีพระมากจัง” แล้วท่านก็พาเดิน ผมก็ตามหลังท่านไปในจิตรู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า จนในที่สุด ไปพบกลุ่มพระภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่ง มีฆราวาสท่านหนึ่งอุ้มขันสำริดเดินอยู่ในกลุ่มท่านชี้มือไปยังบุคคลผู้นั้นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นสามี” ทำให้ผมต้องตีปัญหาพักใหญ่ ขันนั้นน่าจะหมายถึงขันธ์ห้า คำว่าสามีแปลได้หลายอย่าง เจ้าของ ผัว ตำแหน่ง พระสังฆราชบัณฑิต น่าจะเป็นบัณฑิตนั่นเองท่านผู้นี้จิตบอกว่าเป็นหลวงปู่ขรัวหน้าปานองค์ที่ห้าเป็นอันว่าผมได้เห็นหน้าพระเทพโลกอุดรครบทุกพระองค์

9. พระมหินทรเถระ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระภิกษุหลายรูปไปลังกาทวีปแห่ง


6
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=IsvmZynH89Y&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=S05ooPw8rNA&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=nP77NfxsFe0&NR=1[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=kYL5O9DG46Q&feature=related[/youtube]

7
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=Edn6AxMY4uc&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=nPCeViEx21g&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=8YGLE__S9eY&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=xHBlEOf7nKE&feature=related[/youtube]

8
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=UY5LSC4fOlI&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=7pKvmLV2yNQ&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=LCn6NOhwDHQ&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=8jWYRHyfL9Q&feature=related[/youtube]

9
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=TZTJlV5HwgQ&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=UKmklSKL0oE&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=PwCSVJyJgbc&feature=related[/youtube]

10
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=sPGFR4emB58&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=ymfz_Aa2II8&feature=related[/youtube]


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=mNyqhvV6zpQ&feature=related[/youtube]

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10