เว็บใต้ร่มธรรม ตั้งขึ้นเพื่อการรวมตัวของสมาชิกและทีมงานเว็บอกาลิโก ให้มาปรึกษาพบปะพูดคุยกันก่อนเดินทางสู่เส้นทางเดิมของอกาลิโกครับ พร้อมที่จะสานต่อความดีบนโลกออนไลน์ใบเล็กๆนี้ ทุกเรื่องราวมีความเป็นไป หากพี่ๆทุกท่านได้รับข่าวสารฉบับนี้ ถ้ามีเวลา..ก็ขอให้แวะมา พักคุยธรรมะปรึกษาหารือกันเช่นกัลยาณมิตรเหมือนที่เคยมา.."ด้วยความคิดถึงอย่างยิ่ง..ถึงที่สุด ธรรมะอวยพรครับ"
บทความ (Blog)[1] 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 154![]() กรกฎาคม 16, 2022, 04:26:33 am by lek
อยู่ทำประโยชน์เท่าที่มีโอกาส
อาจผิดพลาดทวนไตร่ตรองหมั่นแก้ไข สติปัญญาไม่แจ้งฝึกฝนไป เห็นนัยใจจนเห็นแจ้งเห็นตามจริง ความไม่รู้มีตัวตนสร้างมายา ถวิลหาความหลงไหลให้ลุ่มหลง อยากไม่สิ้นไม่ทันคิดจิตพะวง ยังไม่ปลงเพราะยึดติดมีตัวเรา เวลาเหลือน้อยเข้าไปทุกขณะ หมั่นลดละในอัตตาลดความเขลา มีตัวตนแล้วมีทุกข์ที่มีเรา คงต้องเศร้าวนเวียนต่อหลายชาติไป ![]() เมษายน 27, 2022, 02:50:57 pm by hellowriter
![]() นมแม่คือนมที่ดีที่สุด อย่างแรกเลยนั้นคือในเรื่องของ “นม” นั้นเด็กแรกเกิดทุกคนจนถึง 6 เดือนนั้น นมแม่คทอนมที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทารก เพราะว่าในนมแม่นั้นจะมีสารอาหารที่มากกว่า 200 ชนิด ซึ่งนั้นจะรวมทั้งในเรื่องของการป้องกันโรคต่าง ๆ ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ และยังรวมถึงการพัฒนาการการต่าง ๆ ของลูกน้อยด้วยเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้ในการเติบโตของลูกน้อยนั้นดี เละ มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอย่างมาก นม นั้นเหมาะกับเด็กเท่านั้น ถึงแม้ว่านมนั้นจะมีหลากหลายรูปแบบการผลิตขนาดไหนก็ตามแต่อีกเรื่องที่สำคัญนั้นคือในเรื่องของ ความเข้าใจผิด เพราะว่าหลายคนนั้นมีความเข้าใจผิดว่าในเรื่องของ นมนั้น เหมาะกับเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ว่าในความจริงแล้วนั้นนมนั้นสามารถที่จะดื่มได้ทุกที่ และ ดื่มได้ในทุกวัยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ และ วัยไหน ๆ ก็ตามนั้นสามารถที่จะดื่มนมได้ และ ยังได้รับประโยขน์อย่างมากด้วยเช่นกัน ดื่มนมสูงได้จริงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องที่หลายคนนั้นสงสัยอย่างมากถึงการดื่มนมนั้นได้ความสูงจริงหรือไม่ ซึ่งนี้เป็นเรื่องที่คิดถูกแล้วครับเพราะว่านมนั้นจะมีส่วนในเรื่องของการช่วยเพิ่มความสูง ด้วยเช่นกัน แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะสูงได้จากการดื่มนมอย่างเดียวนะครับยังมีในเรื่องของ การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยเช่นกัน เพราะว่าการทานหารให้ครบ 5 หมู่นั้นจะช่วยเสริมสร้างในเรื่องของความสูง และ ยังมีเรื่องของ คุณค่าทางโภชนการด้วยเช่นกัน ดื่มนมเป็นมะเร็งจริงหรือไม่ อีกเรื่องนั้นคือในเรื่องของ “การดื่มนมและเป็นมะเร็ง” หลายคนนั้นอาจจะเคยได้ยินว่าการดื่มนมนั้นจะเป็นการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งยังไม่มีงานวิจัยไหนที่ได้ระบุไว้ว่าการดื่มนมนั้นจะทำให้เป็นมะเร็ง และ ยังมีงานวิจับบางส่วนที่ได้ระบุไว้ว่า การดื่มนั้นจะช่วยให้ป้องกันมะเร็งด้วยเช่นกันนะครัย และนี้เป็นเพียงเรื่องบาวส่วนเท่านั้นในเรื่องของ การดื่มนมนั้นยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายเลยด้วยนะครับที่เกี่ยวกบนมที่เราไม่ได้นำมาบอก แต่ว่าการดื่มนั้นไม่ว่าจะเป็นนมพาสเจอรไรส์ All Season ที่มีคุณภาพ และ มีความหอมหวาน นั้นมั่นใจได้เลยนะครับว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเราดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ![]() มกราคม 14, 2022, 07:11:24 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
ยามเช้ากับภาพแบบ Panorama ถึงแม้จะมี Omicron แต่ก็ต้องสดชื่นไว้ก่อน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม 9 ภาค 2 หน้าที่ 44 บารมี 30 ทัศ บารมี 10 เหล่านี้ อุปบารมี 10 ปรมัตถบารมี 10 ทรงสละมหาบริจาค 5 เหล่านี้คือ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิต บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาค บุตรภรรยา บุญคือสภาพจิตที่ดีงาม เป็นเหตุนำมาซึ่งผลได้ นั่นคือวิบากที่เป็น ผลของกรรมหรือที่เรียกว่าอานิสงส์ของบุญ บุญจะมีผลมากหรือผลน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ตัวผู้อนุโมทนาเองเป็นปัจจัยหนึ่งสภาพจิตขณะที่อนุโมทนาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ บุญจะมีผลมากหรือผลน้อยหากผู้มีปัญญาอนุโมทนาและเกิดด้วยจิตที่ผ่องใส มีความ เห็นถูกก็มีอานิสงส์มากเช่นกัน ซึ่งไม่ว่ากุศลประเภทใดก็ตามจะมีผลมากผลน้อยก็ สำคัญที่สภาพจิตเป็นสำคัญ เช่นการ แสดงธรรม หากแสดงเพื่อต้องการให้เป็นที่รัก เพื่อลาภ - สักการะ - สรรเสริญ - อานิสงส์ - ผลบุญก็น้อย แต่ถ้าแสดงธรรมเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลกับผู้ฟังการแสดงธรรมนั้นก็มีผลมาแม้การอนุโมทนาและกุศลอื่นๆก็โดยนัย เดียวกันจึงไม่ใช่ว่าถ้าเป็นการอนุโมทนาแล้วจะได้บุญ % ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยอื่นๆหลายประการตามที่กล่าวมาคือ ตัวผู้อนุโมทนาสภาพจิตและความเห็นตรง ที่เป็นปัญญาในขณะนั้น บารมี 10 เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะการเจริญกุศลนั้นต้องเจริญทุกประการเพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ปัญญา เกิดขึ้นดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉทเป็นลำดับขั้นจึงต้องเข้าใจให้ถูก ต้องว่ากุศลใดเป็นบารมีและกุศลใดไม่ใช่บารมีบารมีเป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับการดับกิเลสเป็นสมุจเฉทจึงควรที่จะได้ศึกษาและเห็นความสำคัญ ของบารมีทั้ง 10 เพื่อที่จะได้อบรมให้ยิ่งขึ้น ![]() มกราคม 12, 2022, 03:09:43 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
จงลับกริชแห่งปัญญาให้คมกริบ เมื่อยามหยิบมาใช้จึงส่งผลตัดกิเลสอวิชชาในบัดตล มิต้องว่ายเวียนว่ายแม้ในคะนึงแต่ห่วงกริชมักมีสองคมให้พรั่นจิต หากใช้ผิดตัดเส้นชีวิตที่เฝ้าขึงจึงหวังศิษย์ลดความคิดที่ดึ้อดึง ข้านี้จึงวางใจให้ศิษย์เดินนานนานครั้งก็ดูศิษย์เดินถึงไหน รักสบายบำเพ็ญยังมัวเขินเพราะเจ้าคิดว่าตนเป็นส่วนเกิน พินิจเพื่อดำเนินถูกแลควรใช้ใจอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใช้ความจริงใจ) ใจที่เป็นพุทธะ หรือใช้ใจธรรมะ หรือจิตใจนั้นมีอยู่สองอย่าง คือ จิตใจที่มีความเป็นคนสูงกับอีกใจหนึ่งเป็นจิตใจที่มีความเป็นธรรมะ แล้วใจของศิษย์เป็นจิตใจประเภทไหน ปกติแล้วทุกๆ วันที่เราดำรงชีวิตมา ไม่ว่าศิษย์จะมีชีวิตอยู่เป็น สิบๆ ปีที่ผ่านมาก็แล้วแต่ ศิษย์นั้นได้ใช้ใจของความเป็นคนอันได้แก่ ใจที่เป็นคนประเสริฐ เป็นผู้ที่เอื้อเฟึ้อเอื้ออารีต่อโลก เป็นคนที่มีความเมตตาแล้วก็ไม่เมตตาบ้าง ชอบทำๆ หยุดๆ ใจประเภทที่สองคือใจของธรรมใช่หรือเปล่า ใจของความเป็นคน แยกออกมาเป็นใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตา แต่ชอบทำๆ หยุดๆ กับประเภทที่สองหมายถึงใจที่มีความร้ายอยู่มากมายใช่หรือไม่ เคยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ฆ่ากันตายไหม ไม่ใช่ว่าเขานั้นจะไม่มีความดีเอาเสียเลย แต่ว่าได้มีใจสิ่งร้ายครอบงำจิตใจในส่วนที่ดีใช่หรือเปล่า จิตใจอย่างที่สองเป็นจิตใจแบบไหน (จิตใจธรรมะ) จิตใจธรรมะเป็นจิตใจประเภทไหน(มีเมตตา มีความเที่ยงธรรม จิตใจที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ใจที่เป็นธรรมชาติ) ศิษย์ตอบได้ดี แต่ถ้าหากไม่มีการใช้ปัญญาของเราออกมาคิดเสียบ้าง อาจารย์สอนอะไรไปก็จะลืมหมดใช่หรือเปล่า จบจากสามวันนี้แล้ว หากศิษย์ตั้งใจจะศึกษาต่อไป อาจารย์ก็จะพูดให้มากหน่อยเพื่อให้ศิษย์ได้เก็บเอาไปคิดมากๆว่าใจของธรรมะเป็นเช่นไรโดยมากแล้ว บอกว่าใจธรรมะคือใจดี แต่ดีและร้ายเป็นสิ่งคู่กันเหมือน ดำกับขาว ทั้งดำและขาวเป็นสีไหม สีขาวเป็นสีเหมือนกันใช่หรือไม่ อาจารย์บอกว่าใจของธรรมคือใจที่อยู่เหนือสองสิ่งนี้เชื่อไหมในธรรมที่ศึกษากันอยู่ทุกอย่างที่คนเอามาพูด คือ สิ่งที่เป็นสีขาว ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ดีให้ศิษย์เอาไปปฏิบัติแต่ถามว่าสีขาวยังเป็นสีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าเป็นสี เพราะฉะนั้น ในสีขาวก็ยังเป็นสิ่งที่ขุ่นอยู่ แต่ธรรมะอยู่เหนือกว่านั้นการบำเพ็ญธรรมจึงต้องกลับไปสู่ใจธรรมะหมายความว่าใจที่อยู่เหนือดำเหนือขาวไปแล้วเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม(เข้าใจ)คนที่เข้าใจ เข้าใจจริงหรือไม่ (ใจธรรมะนั้นไม่มีคำว่า ขาว ไม่มีคำว่า ดำเพราะธรรมเป็นสิ่งที่ใส ไม่มีสี เป็นกลางๆ และอยู่เหนือสิ่งอื่นใด)ที่จริงศิษย์ของอาจารย์คนนี้พูดได้ดีแล้ว หากมีเส้นอยู่เส้นหนึ่งเส้นนี้มีหัวท้าย แล้วตรงกลางเส้นล่ะ ก็ยังอยู่ในเส้นนี้ แสดงว่ายังไม่พ้นไปจากเส้นนี้ใช่หรือไม่ สิ่งที่อาจารย์จะพูดก็คือ ธรรมเป็นสิ่งที่ใช้จิตของเราเป็นผู้ตรึกตรอง อธิบายเป็นคำพูดได้ยากยิ่ง เพราะฉะนั้น ศิษย์ของอาจารย์ที่ยังไม่เข้าใจ ศิษย์นั้นจะต้องใช้จิตลองไปตรึกตรอง การพิจารณานั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าใจของเรานี้ยังไม่ได้หยุด ไม่หยุดแล้วกำหนดใจให้นิ่งไม่ได้ เมื่อกำหนดใจให้นิ่งไม่ได้ ก็ยังกำหนดใจให้สงบไม่ได้ เมื่อกำหนดใจให้สงบไม่ได้ ก็จะกำหนดว่าใจนี้อยู่ไหนไม่ได้เมื่อทำเช่นนี้ไม่ได้ พิจารณาไม่ได้ ส่วนใหญ่ของพระภิกษุ หรือศิษย์ของอาจารย์ หลายคนชอบนั่งสมาธิ ถามว่าใจเรานั้นไม่เคยกำหนดให้นิ่งลงเลย สมาธิความสงบเกิดขึ้นได้อย่างไร สมาธิขึ้นสูงอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทุกๆ ขณะจิตของเรานั้น สามารถกำหนดจิตให้นิ่ง ศิษย์ทำได้ไหมพิจารณาง่ายๆ ใจของศิษย์เป็นใจที่ศรัทธา หรือเป็นใจที่กังขา (ศรัทธา)กังขาแปลว่าอะไร (สงสัย) ใจของศิษย์นั้นเป็นใจที่ศรัทธาหรือกังขาอย่าให้สองสิ่งนี้สลับกันไปมา ขอให้สิ่งอยู่ในใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเดียวใครมีคมบ้าง “คมปัญญาตัดกิเลส” ลองวาดรูปที่มีมีดสองคมคมหนึ่งเป็นคมปัญญา คมปัญญาตัดกิเลสใช่ไหม คมอีกข้างหนึ่งเป็นคมของความฉลาดดีไหม คมปัญญานี้เอาไว้ตัดกิเลส กิเลสนี้มาจากไหนกิเลสเกิดขึ้นได้จากอะไร กิเลสเกิดจากอายตนะใช่หรือไม่ อายตนะมีสิ่งใดบ้าง มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อตาไปมองสิ่งภายนอกเกิดเป็นการยึดติดในรูปก็อยากจะได้ของสิ่งนั้น เมื่อหูได้ฟังว่าของดี ยี่ห้อดีราคาแพง เราก็อยากได้ในสิ่งนั้นอีกใช่ไหม เมื่อลิ้นเราสัมผัสในรสชาติอาหาร เกิดเป็นกิเลส อยากลิ้มรสอันนั้นต่อไปใช่ไหมเมื่อคมปัญญาให้ตัดกิเลส แล้วคมฉลาดเป็นอย่างไร เช่นตอนนี้เดิน ไปข้างหน้าต้องลำบากแน่ๆ ก็หลบเสีย รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบไม่พึงใจก็หลบเสีย อย่างนี้เรียกว่าความฉลาดไหม ความฉลาดคือรู้จักเอาตัวรอด ฉะนั้น ความฉลาดกับปัญญาต่างกันตรงไหนปัญญาทำให้เราไม่ได้รู้จักแต่จะหลบหลีกอย่างเดียว แต่จะรู้ว่าเมื่อไรควรหลบหลีก เมื่อไรควรตั้งใจรับ เช่นเมื่อเคราะห์กรรมมาถึงก็ให้ตั้งใจรับรับแล้วพ้นได้ ถ้ามีแต่ความฉลาดเคราะห์กรรมมาถึงก็หลบเสียหลีกเสียในที่สุดเคราะห์กรรมก็ต้องย้อนกลับมาหาเราอีก ฉะนั้น ศิษย์เลือกทีจะเป็นคนฉลาดหรือคนมีปัญญา มีดอันนี้มีสองคม คมหนึ่งเป็นคมดีคมหนึ่งเป็นคมร้าย จะเลือกใช้คมไหนคมแห่งปัญญาใช่หรือไม่คำว่า คมปัญญาตัดกิเลสนั้น เป็นคำที่ค่อนข้างจะสูง เพราะว่าทำได้ยาก มนุษย์นั้นมีกิเลสทุกคน กิเลสนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เราจะเป็นคนที่ใช้ปัญญาของเราตัดกิเลส ปัญญาอยู่ที่ใจ ตัดได้ยามใด การเวียนว่ายตายเกิดก็หยุดลงง่ายเช่นเดียวกับมนุษย์นั้นอยู่ด้วย รัก โลภ โกรธ หลง จึงเวียนว่ายไปด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย หากวันนี้ที่มีชีวิตอยู่ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความรัก โลภโกรธ หลง ได้ อย่ามั่นใจว่าภายหน้านั้นจะหลุดพ้นได้ หากวันนี้สามารถดับอารมณ์ต่างๆได้ จงมั่นใจว่าวันข้างหน้าก็ดับได้เช่นเดียวกัน พระอาจารย์จี้กง พุทธสถานผูถี อ.เมือง จ.พิษณุโลก 11 พฤษภาคม 2540 ![]() มกราคม 12, 2022, 02:08:33 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
ยังมีสถานที่สำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์รอการฟื้นฟูและอนุรักษ์เพื่อให้ลูกหลาน ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ชุมชนเก่าแก่บางแห่งมีอายุมากกว่า 100 ปี บางครั้งมนุษยชอบทำลายมากกว่า การสร้างสรรค์ ความเจริญทางวัตถุทำให้เสื่อม- ![]() ธันวาคม 30, 2021, 08:25:50 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
![]() ![]() ![]() จงสนใจรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ สวัสดีปีใหม่ 2565 -2022 ขึ้นปีใหม่นอกจากต้องระวังเรื่อง Omicron แล้วต้องระวังรายจ่ายด้วยเพราะเศรษฐกิจไม่มีทางฟื้นตัวอย่างน้อยจากนี้ไปอีก 10 ปีถ้าใครอยู่ถึงตอนนั้นอาจได้เห็นเศรษฐกิจดีขึ้น เหตุการณ์ในวันข้างหน้าไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าจะเกิดโรคระบาดอะไรอีก « เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2553 15:41:17 » คนเราเวลามีรายได้ มีเงินทองไว้ใช้จ่ายอย่างสบาย ๆ พอมีใครบอกให้สนใจรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ แน่นอนว่าหลาย ๆ คนฟังแล้วก็คงไม่คิดอะไร เพราะเห็นอยู่ว่าเป็นรายจ่ายเล็กน้อย จึงไม่น่าก่อให้เกิดปัญหาเรื่องเงินได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนส่วนใหญ่พอมีรายได้ในระดับหนึ่งเพื่อซื้อหาความสุข ความพอใจให้กับตัวเอง ก็มักจะไม่ค่อยไตร่ตรองหรือใคร่ครวญถึงความคุ้มค่า ความจำเป็นก่อนที่จะจ่ายเงินออกไปสักเท่าไหร่ต่างจากตอนที่ยังไม่มีเงิน จะซื้อของหรือใช้จ่ายอะไรสักทีต้องคิดแล้วคิดอีก บางคนก็พยายามหาเหตุผลสนับสนุนและเข้าข้างตัวเองเต็มที่ว่า ก็แต่ละเดือนต้องทำงานหนักกว่าจะได้เงินเดือนมาใช้ ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือที่จะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ไม่เห็นจะผิดตรงไหนแต่ความสุขที่ว่านั้น เราไม่ควรลืมว่าส่วนใหญ่ต้องแลกด้วยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้แทบทั้ง สิ้น เคยได้ยินคำคมถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการละเลยค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ บอกไว้ว่า จงสนใจในรายจ่ายเล็ก น้อยๆ เพราะรอยปริเล็กๆ เพียงรอยเดียวสามารถจมเรือใหญ่ได้ ฟังแล้วก็คิดได้ว่า ถึงเงินที่ใช้ไปจะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่หากมองข้ามและใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้ชีวิตต้องล่มเหมือนเรือจมได้เช่นกันขอยกตัวอย่างเช่น หลาย ๆ คนนิยมให้ความสุขตนเองแทบจะทุกวันอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการใช้จ่ายเงินไปกับการซื้อของกระจุกกระจิก ราคาต่อชิ้นไม่กี่บาท แต่ของเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีความ จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนักหรอก ที่เห็นได้ชัดก็คือปัจจุบันนี้ ตลาดกลางวันที่เปิดใกล้ ๆ กับอาคารสำนักงานจะได้รับความนิยมอย่างมากจากคนทำงาน เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน แล้วก็จะเดินไปดูของ ไปชอบปิ้ง ซื้อขนมนมเนย เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ เป็นการฆ่าเวลาก่อนเริ่มงานตอนบ่ายซึ่งก็มักจะอดใจไม่ไหวต้องซื้อหาอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอยู่ทุก ๆ วัน ทำให้เราใช้เงินจ่ายเงินไปทีละนิดทีละหน่อยโดยเราไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือแทบไม่รู้สึกเลยว่าเงินที่เราเหนื่อยหามาได้ นั้นได้ออกจากกระเป๋าไปแล้ว แบบไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือไม่มีความจำเป็น แบบ ที่เรียกว่าเกินพอดีต่อการดำรงชีวิตด้วยซ้ำในวันนี้จึงอยากแนะนำการตั้ง สติ ให้ดีลองนับเงินในกระเป๋าทุกวันให้เป็นนิสัย และจดลงสมุดไว้ว่า วันนี้เราใช้เงินออกไปเป็นค่าอะไรบ้างและของที่ได้มาคืออะไร เมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่ง แล้วลองเอารายการมาดู เราจะเห็นได้เลยว่าที่จ่ายออกไปทีละเล็กละน้อยนั้น เมื่อนำมารวมกันแล้ว สามารถกลายเป็นเงินก้อนโตได้แบบที่เรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว บางคนรวม ๆ แล้วเป็นหลักพันหรือถึงหลายพันบาทถึงตอนนั้นเราจะได้เห็นความไม่จำเป็นหรือบางทีอาจจะนึกขำตัวเองด้วยซ้ำว่า นี่เราเป็นอะไรไป เสื้อผ้าพวกนี้ซื้อมาได้ยังไงทุกวัน ๆ ถุงเท้าราคาถูกชนิดซื้อง่ายขายคล่อง 5 คู่ร้อยบาท ก็ซื้อได้บ่อย ๆ จนหลายครั้งไม่มีที่จะเก็บ บางทีเห็นเพื่อนซื้อเพราะคนขายบอกว่าราคาถูกสุด ๆ หาซื้อไม่ได้อีกแล้ว ก็ซื้อตามเพื่อน โดยที่เราเองก็ไม่ได้อยากมีหรอกถ้าเราลองจดบันทึกรายการใช้จ่ายตามข้างต้นได้ ก็จะได้เห็นพฤติกรรมและพิจารณาถึงการใช้จ่ายของเราได้ชัดเจนขึ้น อาจส่งผลทำให้เรารู้ตัวและระมัดระวังพร้อมทั้งตั้งสติถามตัวเองก่อนจะใช้ เงินได้ดีขึ้น รวมถึงควรเปลี่ยนความคิดและตั้งเป้าหมายใหม่เป็น เราจะสะสมเงินทุกวัน วันละเล็กละน้อยแทนการใช้เงินอยู่ทุกวันถึงแม้จะวัน ละนิดละหน่อยก็ตาม เพื่อจะมีความสุขที่ได้เห็นเงินของ เรางอกเงยอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะไม่ได้ เพิ่มแบบก้าวกระโดด ถ้าทำเช่นนี้ได้แล้ววันหนึ่งเราก็จะมีเงินกับจำนวนสิ่งของที่เพียงพอและจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อย่างมีความสุขสบายได้ไปจนตายในทางกลับกันถ้าเราไม่ใส่ใจกับ การใช้จ่ายเพราะเห็นว่าไม่มากมายอะไรแถมมีความสุขไปวัน ๆ อนาคตเราอาจจะต้องนั่งทุกข์อยู่กับกองข้าวของที่เราซื้อมาทีละนิด และกองไว้ทุกวันจนกลายเป็นของจำนวนมากและเมื่ออยากใช้เงินก็ไม่มีเงินให้ใช้ อย่างเพียงพอ เพราะผลจากการใช้จ่ายเงินเล็ก ๆน้อย ๆ ที่เราไม่ใส่ใจและไม่นึกถึงมาตลอดเวลาในช่วงที่เรามีเงินนั่นเองลองตรองดูให้ดี ตามความจริงดังที่คำคมได้บอกไว้ว่า รอยปริเล็ก ๆ เพียงรอยเดียวยังสามารถจมเรือใหญ่ได้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะ ไม่ปล่อยให้การใช้จ่ายเงินทีละเล็กละน้อย แต่บ่อย ๆ และไม่จำเป็น กลายเป็นรอยปริที่จะทำให้ชีวิตเราล่มจมไม่ต่างกับเรือใหญ่ในที่สุดเริ่มต้นจดบันทึกดูน่ะว่า แต่ละวันเราซื้ออะไร แล้วมานั่งอ่านแล้วบางทีจะขำว่า เรานี่บ้าจริง ๆ เชื่อเถอะ เพราะลองทำมาแล้ว-แล้วแถมยังต้องกลับบ้านมาหาของที่ซื้อแล้วซื้ออีกว่า เราเอาไปวางไว้ไหนกันหละนี่จำนวนขนาดนั้น หาก็ไม่เจอ นั่นเพราะไม่มีสติเวลาใช้สตางค์นั่นเอง ![]() ![]() ![]() ![]() ธันวาคม 29, 2021, 08:24:03 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
https://2017th.wordpress.com/2021/12/29/body/ ปีใหม่กำลังจะมาถึงแต่ Covid Omicron มาถึงก่อน Omicron ติดง่ายตายเร็วหลังปีใหม่ 2565 ก็จะทราบเองว่าจะมีกี่ Cluster ![]() ![]() ![]() พระพทธองค์ทรงสอนเรื่องมิตร ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกมากแห่งเช่น ฑีฆนิกาย - ปาฎิกวรรค เป็นต้นเป็นเหตุให้ผุ้นับถือพระพุทธศาสนา รู้จักปฏบัติตนในฐานะเป็นมิตรของมิตร รู้จักอ่านผู้เป็นมิตรและรู้จักเลือกคบมิตร ประการสำคัญคือ การปฏิบัติตนให้เป็นกัลยาณมิตรของมิตรที่เป็นกัลยาณมิตร เพื่อรักษาความเป็นกัลยาณมิตรในจิตของตนให้มั่นคงคุณค่าแห่งกัลยาณมิตรในจิต ก็จะทำให้เกิดความงามในจิตของตนโดยประการต่าง ๆ ความงามในจติของตน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น คัดลอกจากหนังสือ"ธรรมมะให้ลูกดี"โดย สมเด็จพระพุทฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) ![]() ![]() ![]() ![]() ธันวาคม 26, 2021, 09:07:43 pm by 時々होशདང一རພຊຍ๛
Merry Christmas 2022 ฉลองด้วย Omicron คอยดู Cluster ใหม่หลังเทศกาล หยุดยาวเชื้อตัวนี้ติดง่ายตายเร็ว สังขารไม่ใช่แปลว่ากาย แต่หมายถึงธรรมชาติชนิดหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาคำว่าปรุงแต่งนี้ เราต้องเข้าใจว่า ปรุงแต่งนั้นไม่ได้มาจากชิ้นเดียว แต่เป็นของที่รวมกันมา เหมือนคำว่า ข้าวผัด นี่เป็นรสข้าวผัดหรืออาหารประเภทยำต่าง ๆ ปรุงด้วยอะไรบ้างและถ้าเราจะปรุงให้รสดี ก็ต้องมีหลาย ๆ อย่างปรุงเข้ามาฉะนั้น ต้องมีเหตุที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา จึงต้องถูกปรุงแต่ง ธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งต่าง ๆ ขึ้นมา เป็นกายสังขารให้มีรูปธรรมต่าง ๆ ปรุงแต่งในที่นี้หมายถึง ถ้าเป็นเรื่องของชีวิตก็คือ ปรุงแต่งจากการเสพอารมณ์แต่ละครั้ง ให้มีการเป็นไปตามสิ่งที่ถูกปรุงแต่งตัวเจตสิกนั่นเองวิญญาณ แปลว่า จิต จิต หมายถึงตัวรู้ในอารมณ์ อารมณ์จึงหมายถึงสิ่งที่จิตรู้อารมณ์มีอะไรบ้างอารมณ์มีมากมาย ตัวอย่างเช่น อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หดหู่ อารมณ์เศร้าหมองต่าง ๆ อย่างนี้เราเรียกว่าอารมณ์ทั้งสิ้น คือสิ่งที่เรารู้ได้แล้วก็เสพเข้าไป ฉะนั้นขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ต้องมีการประชุมกัน แล้วเราใช้คำว่าสมมุติสัจจะ เรียกไปเองว่าคน ว่าสัตว์ ว่าคนไทย ว่าฝรั่ง ว่าแขกต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นภาษาสมมุติ ซึ่งไม่มีความเป็นจริง ความเป็นจริงอยู่แต่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณลักษณะหัวใจคนเรามี 4 ห้อง แต่ละห้องมีกล้ามเนื้อ มีหลอดเลือดดำ มีเยื่อเมือก มีการสูบฉีดโลหิต มีหลอดที่สำหรับฟอกโลหิตส่งไปเลี้ยงนั่นคือ รูปธรรมแต่เราพูดถึงเรื่องวิญญาณ คือนามธรรม เพราะว่าเวลาเราเห็น วิญญาณต้องเข้าร่วมด้วย เราไม่เห็นตัววิญญาณเลย แต่เราเห็นสิ่งต่าง ๆได้ เป็นนามธรรม เป็นของที่เราพิสูจน์ได้ทั้งนั้นฉะนั้น ชีวิตที่แท้จริง เมื่อเราปฏิเสธสมมุติสัจจะออกจนหมดสิ้นแล้ว คือ รูป - นามเท่านั้นมีรูป มีนาม มีนาม มีนาม มีนาม 5 อย่าง รวมเป็นคนเป็นสัตว์ขึ้นมา ฉะนั้น เราย่นย่อ แทนที่จะบอกว่า รูป นาม นาม นาม นาม เรื่อยไป ย่นเสียเหลือ 2 คำ เป็นรูปนามขันธ์ 5 คือมีรูป มีนาม เป็นหมวดอยู่ 5 อย่างฉะนั้นคำว่าขันธ์ 5 จึงได้แก่ชีวิต ๆ หนึ่งเท่านั้นเองนี่พอเข้าใจเราต้องเรียนเรื่องนี้ให้เข้าใจ เรามีศรัทธาเชื่อแน่ นี่แหละครับคือภูมิของปัญญา ถ้าเราไม่เคลียร์ตัวเอง ยังไม่ทำลาย วิจิกิจฉานี้ เราจะปฏิบัติอะไรให้เกิดผลดีไม่ได้เลย เพราะเราไม่ยอมรับความจริง ถ้าหากว่าเรายอมรับความจริงได้แล้ว แม้เราจะเอาไปพิสูจน์ตอนหลัง ก็จะออกมาเป็นบทพิสูจน์ได้เรายอมรับของจริงแล้ว เราก็เอาของจริงนั้น ไปพิสูจน์ในสิ่งที่เราพบอยู่ทุกวัน มันต้องพบความจริงจนได้แต่ถ้าเราเรียนจนเรายอมรับแล้ว แต่เราไม่ทำลายมานะ ความยกตัว ถือตัว อวดดื้อถือดี ไม่ทำลายทิฏฐิอันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราก็ไม่สามารถก้าวสู่ความเป็นจริงได้ในหลักของพระพุทธศาสนา มีการปฏิบัติอยู่ 2 อย่างคือ การทำสมาธิ สมถกรรมฐาน กับการทำวิปัสสนา ไม่ใช่อย่างเดียวกันครับ ที่พูดว่า นั่ง - วิปัสสนา เดินวิปัสสนานั้นไม่ใช่คำว่าวิปัสสนากรรมฐานรวมกันแล้ว หมายถึงการกระทำฐานที่ตั้งแห่งปัญญา ปัญญา คือ ความรู้จริง รู้ชัด และรู้ในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ทั้งสิ้น ไม่ใช่รู้ในของสมมุติ แต่รู้ของจริงขณะนี้เราต้องมีศรัทธาเชื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะเราพิสูจน์เอง ไม่มีใครมาสอนเรา ที่ผ่านมาเ จึงต้องมีศรัทธาเชื่อ เพราะพระธรรมคงทนต่อการพิสูจน์ไม่ว่าคุณจะเกิดมาในประเทศไหน คุณก็จะต้องรู้ว่าชีวิตนั้นจะต้องมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไม่ว่าเด็กในครรภ์มารดาคนนี้ จะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ก็ตาม ออกมาต้องมีรูป นาม ขันธ์ 5ศึกษาแล้วจะต้องมีศรัทธา และเป็นศรัทธาอันแรงกล้า ที่เชื่อมั่นอย่างจริงใจว่า ชีวิตจะต้องประกอบไปด้วย รูป นาม ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ รูปคือสิ่งที่มองเห็นได้ทางตา นามคือ สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่เป็นของมีจริงฉะนั้นรูปนี้ก็ยังคงสภาวะรูปอยู่ เวทนา อารมณ์ที่เสวยเข้าไป ไม่มีรูป เมื่อสักครู่เราพิสูจน์แล้วว่ามีจริง เราเรียกว่านามธรรม สัญญาความจำได้หมายรู้ ไม่มีรูปปรากฏ แต่มีจริง เรานึกคิดอะไรแล้วไปถึงที่นั่นที่นี่ได้ถูก มันอยู่ในความทรงจำซึ่งไม่มีรูปปรากฏ แต่ก็เก็บอยู่ในจิตตลอดเวลา เป็นนามธรรม สังขารการปรุงแต่งขึ้นมาได้ตามเหตุตามปัจจัย เรามองไม่เห็นเหตุปัจจัย มองไม่เห็นการปรุงแต่ง แต่เรารับรู้อารมณ์นั้นได้ เรียกว่านามธรรม วิญญาณ คือ จิต หัวใจคือรูปเป็นที่ตั้งให้จิตอาศัย หัวใจกับจิตคนละอย่าง(จิต)นี่เป็น นามธรรม นั่นเอง ![]() พฤศจิกายน 17, 2021, 09:18:33 pm by होशདངພວན2017
เดินเล่นในวัด เก็บธรรมจากวัด ภาค 1 ถ่ายภาพโดย.... होशདངພວན2017 សម្តេចព្រះពុទ្ធជ័យមុនី ព្រះរាជាគណៈ យកវត្តន៍ប្រណិបត័ សម្តេច លាស់ ឡាយ ព្រះជន្ម ១០៥ ព្រះវស្សា ![]() ![]() ![]() ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลายอาตมาจะพูดกับท่านทั้งหลายโดยหัวข้อว่า การมีชีวิตด้วยจิตว่างการมีชีวิตด้วยจิตว่างนี่คืออะไรคือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้จะพูดใส่หน้ากรอกหูลงไปเลยว่า คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตด้วยจิตว่างอย่างไร ไม่รู้ว่าการมีชีวิตด้วยจิตว่างคืออะไรการมีชีวิตด้วยจิตว่างก็คือจิตที่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงไม่ไปเป็นทาสของสิ่งใด ๆ ไม่ไปติดผูกพันอยู่กับสิ่งใด ๆ เป็นจิตว่างเป็นจิตอิสระจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก อย่างนี้เรียกว่าจิตว่างจิตฉลาด จิตคิดลึกได้รวดเร็วสำหรับจะว่างไม่เป็นจิตโง่ งุ่มง่าม เข้าไปหลงใหลยึดถือในสิ่งใดก่อนแต่จะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้ว จิตโง่มันก็ยึดถือตลอดเวลามันก็แบกภูเขาอยู่ตลอดเวลา มันเป็นจิตวุ่น เป็นจิตที่ติดอยู่กับสิ่งนั้นๆ มันไม่ว่างถ้ามีสติปัญญารู้เพียงพอในเรื่องของธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องพ้นจากหน้าที่เป็นต้นแล้ว ก็รู้ว่าธรรมชาติทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้นเองจะไปหมายมั่นตามความต้องการของเราไม่ได้ เราก็ไปเกี่ยวข้องกับิ่งเหล่านั้นโดยไม่ต้องหมายมั่น คือด้วยจิตที่เป็นอิสระมีจิตเป็นอิสระจากทุกสิ่งนี้เรียกว่าจิตว่างว่างจากอะไรว่างจากกิเลสที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น เต็มอยู่ด้วยสติปัญญาที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้นที่จะจัดการกับสิ่งนั้น ๆ ด้วยจิตที่เป็นอิสระ จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย สะดุ้งหวาดเสียว วิตกกังวล ระแวง ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว คนมี จิตวุ่นผูกพันกับสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนจะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้วก็มีจิตวุ่นอยู่ด้วยสิ่งเหล่านั้น มันจะต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ละอายสุนัขด้วย ละอายสัตว์ทุกชนิดที่มันไม่เป็นโรคประสาทคนกินยาแก้ปวดหัว แมวไม่ต้องกินคนกินยาระงับประสาท แมวไม่ต้องกินคนกินยาระงับปวดหัว ระงับโรคประสาทเป็นตัน ๆ ทั้งโลก แล้วก็ยังปวดหัว แล้วก็ยังเป็นโรคประสาท แมวไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัวไม่ต้องกินยาระงับประสาท แมวก็ไม่เป็นโรคประสาทซักตัวนึง เราก็คิดดูเถอะ น่าละอายหรือไม่น่าละอาย ถ้าเราจะคำนวณดูในโลกนี้กินยาแก้ปวดศีรษะ กินยาระงับประสาท ทั้งโลกนะ จะกี่ตันกี่สิบตัน ก็ยังมีคนเป็นโรคประสาทประเทศไทยนี้ว่ามีคนเป็นกันเป็นแสน ๆ ทั้งโลกนี้จะเป็นกันกี่สิบล้านกี่ร้อยล้าน ทั้งที่กินยา แมวไม่ต้องกินยาสักเม็ดนึงมันก็ไม่ปวดหัวคือสิ่งนั้นมาย่ำยีหัวใจเราได้ บังคับใช้เราได้ ให้ไปหาอะไรก็ได้ ให้ไปฆ่าใครก็ได้ ให้ไปกระโดดน้ำตายเองก็ได้ นี่เรียกว่าไม่มองเห็นวสิ่งนั้น ๆ ตามที่เป็นจริงแล้วก็เข้าไปยึดถือ เข้าไปยึดถือแล้วจิตมันก็ไม่ว่าง มีคนโง่เขลาที่เป็นครูบาอาจารย์ก็มี พูดว่าจิตว่างไม่ได้ จิตต้องคิดนึกเสมอ ถูกแล้ว จะคิดนึกอย่างไม่ยึดถือนั่นแหละ คือว่าง คิดนึกอย่างไม่ยึดถืออะไรมาเป็นของกูมาเป็นตัวกูนั่นคือจิตว่าง ถูกแล้วจิตมันต้องคิดนึก ต้องรับอารมณ์ ต้องคิดนึกแต่อย่าโง่ไปยึดถือ มันก็เรียกว่าว่าง จิตไม่ยึดถือในสิ่งใดจิตก็ว่างจากสิ่งนั้น เหมือนกับมือของเรานี่ ถ้าไม่ไปจับถือสิ่งใดก็เป็นมือที่ว่างไม่ไปติดอยู่กับสิ่งใด เนี่ยมือมันว่างที่เรามีจิตที่มองเห็นสิ่งทั้งปวงว่ามันเป็นอย่างไรตามที่เป็นจริงแล้ว ไม่ไปปยึดถือคือไม่หมายมั่นเป็นตัวกูของกู แม้แต่ชีวิตร่างกายนี้ก็มีได้ ใช้มันได้โดยไม่ต้องยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูการงานก็ทำได้ ทั้งที่ไม่ต้องยึดถือป็นตัวกูของกู เพราะมันทำด้วยสติปัญยาที่มีอยู่ในนามรูป ที่ควบคุมอยู่ด้วยสติปัญญาอันถูกต้องไม่ใช่ความโง่จิตก็ควบคุมนามรูปนี้ให้ทำอะไรไปได้ตามหน้าที่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ถ้าจิตมันโง่ จิตมันไม่ว่าง เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยอวิชชามันก็ให้ร่างกายนี้ นามรูปนี้ทำอะไรไปด้วยความโง่ก็มีความทุกข์ไม่ว่างจากกิเลสไม่ว่างจากความทุกข็ จิตนั้นไม่ว่างจากกิเลส จิตนั้นไม่ว่างจากความทุกข์เราเรียกว่าจิตไม่ว่างไม่ว่างคืออยู่กับกิเลส อยู่กับความทุกข์ ถ้าจิตว่างคือจิตที่เป็นอิสระเต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะเต็มอยู่ด้วยสติปัญญาประพฤติกระทำถูกต้องหมดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตเอง คือจิตว่างจึงนำพาชีวิตไปในทางที่สงบเย็น ถ้าเรามีชีวิตด้วยจิตว่าง เราก็มีชีวิตที่เย็น ...ท่าน พุทธทาส อินทปัญโญ ได้เมตตาสั่งสอนธรรม ![]() ![]() ![]() ![]() พฤศจิกายน 01, 2021, 12:18:29 pm by होशདངພວན2017
![]() ![]() ![]() https://7star1971.wordpress.com/ ภาพเหล่านี้ถ่ายเมื่อปี 2011 แต่เมื่อ 10 ปีก่อนยังไม่มี COVID 19 ![]() ![]() ![]() พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ.พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายถึงเรื่อง ธรรมของคนดี (สัปปุริสธรรม) และ ธรรมของคนชั่ว(อสัปปุริสธรรม)พอสรุปได้ว่าธรรมะของคนชั่ว คือ.................................. ๑.ผู้ออกบวชจากสกุลสูง ๒.ผู้ออกบวชจากสกุลใหญ่ ๓.ผู้มีคนรู้จัก มียศ ๔.ผู้มีลาภ ๕.ผู้มีการศึกษามาก ๖.ผู้ทรงจำวินัย ๗.ผู้เป็นนักพูดธรรมะ ๘.ผู้อยู่ป่า ๙.ผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑๐.ผู้ถือบิณฑบาต ๑๑.ผู้อยู่โคนไม้ ๑๒.ผู้อยู่ป่าช้า ๑๓.ผู้ได้รูปฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔ ๑๔.และผู้ที่ได้อรูปฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔ รวม ๒๐ พวก ใน ๒๐ พวกนี้ที่เป็นคนชั่ว คือ มักจะยกตนข่มขี่ผู้อื่น เพราะเหตุที่ตนอยู่ใน ๒๐ พวกนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ หลายอย่างก็ได้ จัดว่าเป็นอสัปบุรุษ คือ คนชั่วทั้งสิ้น ส่วนคนดี ย่อมพิจารณาเห็นว่า ความโลภ ความโกรธ และความหลง ย่อมไม่อาจ หมดไปได้เพราะการอยู่หรือได้ฐานะ ๒๐ ประการนั้น ถึงแม้ไม่อยู่ในฐานะทั้ง ๒๐ นั้น แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตนสมควร คนทั้งหลายก็ ต้องบูชา สรรเสริญในที่นั้น คนดีนั้นเขาปฏิบัติแต่ภายในคือ ไม่โอ้อวด ยกตัว ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้มีฐานะ ๒๐ นั้น นี่คือธรรมของคนดีคำาว่า ธรรม ในหัวเรื่องนี้ เป็นของหรือสิ่งกลาง ๆ ยังไม่จัดว่าดีหรือชั่ว จึงใช้คำว่า ธรรม ของคนดีและของคนชั่ว ต่อมาเราได้ดูที่การกระทำ หรือฟังคำที่เขาพูดแล้วจึงจะตัดสินใจได้ว่า สิ่งนั้นดีหรือชั่ว ในพระสูตรนี้ ท่านยกเอาผู้ที่อยู่ หรือได้คุณธรรมนั้น ๆ ใน ๒๐ ประเภทมาเป็นตัวอย่างว่า แม้ผู้ที่ถึงฐานะ ๒๐ พวกนั้นแล้ว ก็มิได้เป็นประกันว่า จะเป็นคนดีหรือคนชั่วเสมอไป จะต้องมีการละความ โลภ ความโกรธ และความหลงประกอบด้วย พระสูตรนี้ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ชาวพุทธที่มีสัทธาจริต เห็นพระอยู่ป่า อยู่เขา อยู่ป่าช้า นุ่ง ห่มผ้าสีกรัก ทำสมาธิได้ถึงขั้นฌานต่าง ๆ ว่าเป็นผู้ที่หมดกิเลสตัณหาแล้ว บางทีท่านอาจมีกิเลสตัณหามากกว่า พระที่อยู่ในกรุงบางรูปเสียด้วยซำ
Powered by Blog by Tairomdham
|