แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - honeypor

หน้า: [1] 2
1
หลวงตามหาบัว / มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ
« เมื่อ: มกราคม 12, 2011, 08:08:00 pm »
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๕

 

เราเป็นนักบวชและเป็นผู้งดเว้นทุกอย่าง บรรดาที่เป็นข้าศึกต่อตนเองและส่วนรวม ท่านจึงให้นามว่า นักบวช แปลว่า ผู้งดเว้น คำว่า เว้น ในที่นี้หมายความว่า เว้นสิ่งที่ เป็นข้าศึกที่จะทำให้เราเสีย จงสังเกตคำว่า นัก ถ้าขึ้นหน้าด้วยคำว่า นัก แล้วต้องเลื่องลือ เช่นคำว่านักเลง นักปล้นจี้ เป็นต้น ต้องเป็นคนเสียหายอย่างลือนาม ถ้าเป็นทางดี เช่น นักปราชญ์ นักบวช นักปฏิบัติ ย่อมเป็นไปเพื่อความดีเด่นเป็นส่วนมาก เฉพาะที่นี่จะอธิบายเกี่ยวกับนักบวช ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่งดเว้นสิ่งที่เป็นอกุศล และบำเพ็ญสิ่งที่เป็นกุศล คือความฉลาดเข้าให้มากเท่าที่จะมากได้ จนพอตัวแล้วก็ข้ามอุปสรรคคือกองทุกข์เสียได้ เพราะฉะนั้น เราทุกท่านบัดนี้ได้ทราบแล้วว่าเราเป็นนักบวช โลกก็ให้นามว่าเป็นนักบวช จงทำความรู้สึกในเพศของตนตลอดเวลาและทุกๆ อาการที่เคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจ


เราบวชในพระ ศาสนามีพระโอวาทเป็นเครื่องปกครอง พระโอวาทมีทั้งรั้วกั้น มีทางเดิน รั้วกั้น คือพระวินัย ปรับโทษแห่งความผิดไว้เป็นชั้น ๆ อย่างหนักก็มี อย่างกลางก็มี อย่างเบาก็มี นี่คือรั้วกั้นทางผิดไม่ให้ปลีกออก และเปิดทางที่ถูกไว้คือพระธรรมเพื่อดำเนินไปสู่จุดประสงค์ที่มุ่งหวัง พระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ถ้าแยกออกไปแล้วแสดงว่าผิด แยกออกน้อยก็ผิดน้อย แยกออกมากก็ผิดมาก แยกออกไปจนถึงไม่กลับเข้าสู่ทางเลย ก็แสดงว่าผิดไปเลย เหมือนคนหลงทาง ถ้าหลงน้อยก็วกกลับเข้ามาได้เร็ว ถ้าหลงมากก็ทำให้เสียเวลานาน ยิ่งหลงไปเสียจริง ๆ ก็ไม่มีโอกาสจะถึงจุดประสงค์


เพราะฉะนั้น เรื่องของพระวินัยจึงเป็นเหมือนรั้วกั้นความผิดของผู้เป็นนักบวช เป็นชั้น ๆ ตามฐานะของนักบวชและฆราวาสจะปฏิบัติรักษาตามหน้าที่ของตน ในศีลนับแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ส่วนพระธรรมเป็นทางเดิน มีศรัทธาความเชื่อ เป็นภาคพื้น ซึ่งพระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว คือเชื่อในทางดำเนินเพื่อผลอันดี วิริยะเพียรไปตามทางนั้นเสมอไม่ลดละ สติเป็นผู้ประคองความ เพียรของตนในเวลาเดินทาง สมาธิความมั่นคงของใจต่อการเดินทาง และเป็นเสบียง คือความสงบสุขของใจระหว่างปลายทาง และปัญญา ความรอบคอบในการเดินทางเป็นลำดับไป ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมายปลายทาง


ธรรมที่กล่าว มาทั้งนี้ เป็นเครื่องสนับสนุนให้เราเดินถูกทาง เมื่อเป็นผู้มีธรรมทั้ง ๕ ข้อ คือ ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ และปัญญา ประจำตนเสมอแล้ว จุดหมายปลายทางซึ่งเป็นตัวผลเรามิต้องสงสัย จะต้องปรากฏขึ้นเป็นผลตอบแทนให้รู้ประจักษ์ใจของเราตามกำลังความสามารถของตน ถ้าอบรมธรรมทั้ง ๕ นี้แก่กล้าภายในใจแล้ว จุดหมายปลายทางที่พระองค์ประกาศผลเอาไว้ได้แก่ วิมุตติพระนิพพาน จะหนีจากทางดำเนินนี้ไปไม่ได้ เพราะคำว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต่างก็มุ่งต่อผลนั้นอยู่แล้ว


ขอให้ท่านนักปฏิบัติจงพยายามบำรุง ศรัทธาความเชื่อในธรรม และสมรรถภาพคือความสามารถของตนเอง วิริยะเพียรให้พอ สมาธิความสงบจะปรากฏเป็นผลขึ้น และพยายามบำรุงสมาธิให้เพียงพอ สติกับปัญญาเป็นพี่เลี้ยง ผลจะปรากฏขึ้นเป็นที่พึงพอใจแก่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เราไม่ต้องเป็นอารมณ์ข้อข้องใจว่า มรรค ผล นิพพาน จะมีอยู่ในที่แห่งใด จงพยายามบำรุงเหตุที่ได้อธิบายมานี้ให้เพียงพอ ผลซึ่งจะเกิดขึ้นจากเหตุนั้นจะไม่มีอะไรบังคับไว้ได้


ในธรรมทั้ง ๕ ข้อนี้ คือหลักธรรมทางดำเนิน เรียกว่า อินทรีย์ ๕ หรือ พละ ๕ ก็ ได้ อินทรีย์ความเป็นใหญ่ พละคือกำลัง ฝ่ายพระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางซึ่งจะเป็นเหตุให้ผิดต่อทางดำเนินเพื่อ มรรค ผล นิพพาน พระพุทธเจ้าทรงกั้นไว้รอบด้าน แล้วทรงเปิดทางคืออินทรีย์ ๕ ให้ดำเนินจนเพียงพอแก่ความต้องการ


กายวิเวก ความสงัดแห่งกาย ในสถานที่อยู่อาศัย ที่ไปที่มาตามบริเวณที่อยู่นี้ นับว่าเป็นสัปปายะ ความสบายพอสมควร จิตวิเวก ท่านผู้มุ่งให้เป็นไปเพื่อความสงัดภายในตามขั้นแห่งความสงบของตน ก็มีประจำจิตของท่านผู้บำเพ็ญพอสมควร ส่วนผู้เริ่มฝึกหัดใหม่ๆ ยังไม่ได้จิตวิเวกภายในใจ จงพยายามบำรุงอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้มีกำลัง ความวิเวกภายในค่อยปรากฏขึ้นเป็นลำดับ ผู้ที่ได้รับความวิเวกภายในพอประมาณแล้ว จงพยายามส่งเสริมให้มีความละเอียดเข้าเป็นลำดับ พร้อมทั้งปัญญาความรอบคอบในความวิเวกของตน และผู้มีธรรมยิ่งกว่านั้น จงรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยปัญญาให้เพียงพอ จะปรากฏเป็นอุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสโดยสิ้นเชิงประจักษ์ใจขึ้นมาก


กายวิเวกความ ไม่วุ่นวายกับสิ่งภายนอก เที่ยวหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด และไม่คว้าหาการงานมาเป็นเครื่องรบกวนกาย จนกลายเป็นโรงงานขึ้นในสถานที่อยู่และที่อาศัยชั่วคราว โดยถือการงานเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนาและการอาชีพของนักบวช ซึ่งเห็นอยู่ในที่ทั่วไป จนหมดความสนใจในความเพียรทางใจ ซึ่งเป็นกิจของนักบวชแท้ จิตวิเวก ความสงัดของจิต ที่มีความเพียรทางใจเป็นพี่เลี้ยงตามรักษา ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัส รั้งจิตใจให้ดำรงอยู่ในความสงบได้ด้วยความระวังสำรวมตลอดเวลา ตามธรรมดาของจิตวิเวก แม้สิ่งภายนอกจะไม่มารบกวน แต่ภายในจิตก็ยังต้องมีอารมณ์ที่เป็นข้าศึกต่อใจอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้ชื่อเพียงจิตวิเวก ความสงัดจากอารมณ์เครื่องก่อกวนภายนอก


ส่วนอุปธิ วิเวก หมายถึง ความสงัดจากสิ่งภายนอก มีรูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้นด้วย สงัดจากอารมณ์ภายในที่เป็นข้าศึกแก่ใจโดยเฉพาะด้วย คือหมดทั้งสิ่งที่เป็นข้าศึกภายนอก หมดทั้งสิ่งที่เป็นข้าศึกภายใน เป็นความสงัดจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรแทรกสิงใจแม้แต่น้อย เป็นอุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสตลอดเวลา แม้จะกระทบอารมณ์จากสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัส หรือขันธ์จะทำงานตามหน้าที่ของตน ก็ไม่ซึมซาบถึงใจให้ได้รับความลำบาก


ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก กายวิเวกและจิตวิเวกเป็นบาทฐานสำคัญ ธรรมทั้งสามประเภท คือ กายวิเวก จิตวิเวก และอุปธิวิเวกนี้ เป็นธรรมที่ควรแก่ความสามารถของนักปฏิบัติจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ขึ้นในตนได้ ทุก ๆ คน โดยไม่มีอะไรมากีดขวาง ขออย่างเดียวแต่อย่าละความเพียรพยายาม จงเป็นผู้อาจหาญร่าเริงต่อสถานที่อยู่ที่อาศัยซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ๆ สงัดวิเวกวังเวง และเป็นสถานที่ที่จะปลดเปลื้องความโง่ต่อตัวเองเสียได้โดยสิ้นเชิง ที่ทั้งนี้พระองค์กับบรรดาสาวกได้เสด็จผ่านไปแล้วจนถึงแดนแห่งนิพพาน ที่ดังกล่าวยังจะกลับแปรสภาพมาเป็นข้าศึกต่อพวกเราผู้ดำเนินตามเยี่ยงอย่าง ของพระองค์ท่านจะมีอย่างหรือ


จงอย่าพากันห่วงใยในชีวิต ว่าจะทอดทิ้งร่างกายในสถานที่เช่นนั้น หากจะเป็นเช่นนั้นได้จริงแล้ว พระองค์ต้องทรงเปลี่ยนอนุศาสน์จากคำว่า รุกฺขมูลเสนาสนํการอยู่ป่าไป เป็นอื่นให้สมกับพระเมตตาที่มีต่อบรรดาสัตว์ทั้งมนุษย์และเทวดาโดยตลอด อนึ่ง ถ้าผู้อยู่ในที่สงัดวิเวกด้วยความเพียรตามแบบพระองค์สอน ผลจะกลายเป็นอื่นไปจากผลที่ชอบธรรมซึ่งประทานแล้ว พระองค์ก็ต้องดัดแปลงแก้ไขบทธรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสมัย และสถานที่นิยม ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ซึ่งเป็นเหมือนพระหทัยวัตถุของพระองค์ที่ประทานไว้ชอบแล้ว ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยพระองค์โดยสิ้นเชิง
 

ธรรมทั้งนี้ยังคงเส้นคงวาโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ท่าน เราผู้ ปฏิบัติจึงควรดัดกาย วาจา ใจของตนเข้าสู่ธรรม ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดัดแปลงธรรมให้เป็นไปตามอำนาจของใจที่มีกิเลส จะกลายเป็นพระเทวทัตขึ้นมาที่กาย วาจา ใจดวงนั้น ศาสดาคือพระโอวาทอันชอบธรรมก็จะสูญเสียไปจากเราโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก ฉะนั้น จงพยายามทางความเพียรตามธรรมที่ทรงประทานไว้ มีความอาจหาญต่อสู้สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อใจ ทั้งที่เกิดขึ้นจากภายนอก และเกิดขึ้นจากภายใน ทั้งผลที่ปรากฏขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ว่าเกิดขึ้นจากไหน และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยความสนใจของตนตลอดเวลา อย่าทอดธุระ อย่ามีความระอา จงพยายามให้รู้เหตุรู้ผลของสิ่งที่มากระทบหรือเกี่ยวข้องกับใจ จนถึงกับเป็นผลให้ใจได้รับความทุกข์ขึ้นมา จนเห็นได้ชัดในตัวเหตุผลก็เป็นสิ่งจะทราบชัดในขณะเดียวกัน


ข้อสำคัญที่ สุดที่ได้เทศน์ในวันใดก็ดี และเป็นธรรมที่แนบสนิทอยู่กับใจของผู้เทศน์ตลอดเวลา คือ สติกับปัญญา นี่เป็นธรรมสำคัญมาก ถ้าได้ขาดสติกับปัญญาแล้วผลจะขาดวรรคขาดตอน การก้าวแห่งความเพียรก็จะขาดวรรคขาดตอนไม่สม่ำเสมอ แม้อุบายความฉลาดที่จะปรากฏขึ้นเป็นเครื่องแก้กิเลสก็ขาดลงเป็นลำดับ และผลคือความสงบสุขก็ขาดวรรคขาดตอนไปตาม ๆ กัน ถ้าสติกับปัญญาได้ขาดวรรคขาดตอนไปแล้ว พึงทราบว่าความเพียรทุกประโยคได้ขาดวรรคขาดตอนไปในขณะเดียวกัน ฉะนั้น โปรดได้ทราบไว้ทุก ๆ ท่านด้วย และทุกครั้งที่เทศน์ไม่เคยเว้น สติกับปัญญาแทบจะกล่าวได้ว่าออกหน้าออกตาว่าบรรดาธรรมทั้งหลาย


เพราะได้ พิจารณาแล้วเต็มกำลัง นับแต่ได้เริ่มปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเห็นธรรมบทใดหมวดใดที่ยิ่งไปกว่าสติปัญญา ซึ่งจะสามารถรื้อฟื้นสิ่งลี้ลับอยู่ภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ให้ประจักษ์แจ้งขั้นมาภายในใจ ดังนั้นจึงได้นำธรรมทั้งสองประเภทนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านผู้ฟังได้ทราบว่า ถ้าเป็นไม้ก็แก่น หรือรากแก้วของต้นไม้ เป็นธรรมก็รากเหง้า หรือเครื่องมือที่สำคัญสำหรับแก้กิเลสอาสวะ นับตั้งแต่หยาบถึงละเอียดยิ่งให้หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง ถ้าได้ขาดสติไปเสียเพียงจะทำสมาธิให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งได้ขาดปัญญาไปเสียด้วยแล้ว แม้สมาธิก็จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปได้ เพราะคำว่า สมาธิ นั้นเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่แน่ว่าเป็นสมาธิประเภทใด ถ้าขาดปัญญาเป็นพี่เลี้ยงต้องกลายเป็นสมาธิที่ผิดจากหลักธรรมไปได้โดยไม่ รู้สึกตัว


คำว่ามิจฉาสมาธินั้นมีหลายชั้น ชั้นหยาบที่ปรากฏแก่โลกอย่างชัดเจนก็มี ชั้นกลาง และชั้นละเอียดก็มี ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะมิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติซึ่งปรากฏขึ้นกับตนเองโดยไม่ รู้สึกตัว เช่นเข้าสมาธิจิตรวมลงแล้วพักอยู่ได้นานบ้าง ไม่นานบ้าง จนถอนขึ้นมา ในเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วยังมีความติดพันในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญาเลย โดยถือว่าสมาธิจะกลายเป็นมรรค ผล นิพพานขึ้นมาบ้าง ยังติดใจในสมาธิอยากให้รวมอยู่นาน ๆ หรือตลอดกาลบ้าง จิตรวมลงถึงที่พักแล้วถอนขึ้นมาเล็กน้อย และออกรู้สิ่งต่าง ๆ ตามแต่จะมาสัมผัส แล้วเพลินติดในนิมิตนั้น ๆ บ้าง บางทีจิตลอยออกจากตัวเที่ยวไปสวรรค์ชั้นพรหม นรก อเวจี เมืองผี เมืองเปรตต่าง ๆ จะถูกหรือผิดไม่คำนึง แล้วก็เพลินในความเห็น และความเป็นของตนจนถือว่าเป็นมรรคผลที่น่าอัศจรรย์ของตน และของพระศาสนาด้วย ทั้งนี้แม้จะมีท่านที่มีความรู้สามารถในทางนี้มาตักเตือนก็ไม่ยอมฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่าเป็นมิจฉาสมาธิโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก


ส่วนสัมมา สมาธิเล่าเป็นอย่างไร และจะปฏิบัติวิธีใดจึงจะเป็นไปเพื่อความถูกต้อง ข้อนี้มีผิดแปลกกันอยู่บ้าง คือ เมื่อนั่งทำสมาธิจิตรวมลงพักอยู่ จะเป็นสมาธิประเภทใดก็ตาม และจะพักอยู่ได้นานหรือไม่นาน ข้อนี้ขึ้นอยู่กับสมาธิประเภทนั้น ๆ ซึ่งมีกำลังมากน้อยต่างกัน จงให้พักอยู่ได้ตามขั้นของสมาธินั้น ๆ โดยไม่ต้องบังคับให้ถอนขึ้นมา ปล่อยให้พักอยู่ตามความต้องการแล้วถอนขึ้นมาเอง แต่เมื่อจิตถอนขึ้นมาจากสมาธิแล้ว จงพยายามฝึกค้นด้วยปัญญา จะเป็นปัญญาที่ควรแก่สมาธิขั้นไหนก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองดูตามธาตุขันธ์ จะเป็นธาตุขันธ์ภายนอกหรือภายในไม่เป็นปัญหา ขอแต่พิจารณาเพื่อรู้เหตุผลเพื่อแก้ไขหรือถอดถอนตนเองเท่านั้นชื่อว่าถูก ต้อง


จงใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมทั้งภายในทั้งภาย นอก หรือจะเป็นส่วนภายในโดยเฉพาะ หรือจะเป็นส่วนภายนอกโดยเฉพาะ พิจารณาลงในไตรลักษณ์ จะเป็นไตรลักษณ์ใดก็ได้จนชำนาญและแยบคาย จนรู้ช่องทางเอาตัวรอดไปได้โดยลำดับ เมื่อพิจารณาจนรู้สึกอ่อนเพลีย จิตอยากจะเข้าพักในเรือนคือสมาธิ ก็ปล่อยให้พักได้ตามความต้องการ จะพักนานหรือไม่นานไม่เป็นปัญหา จงพักอยู่จนกว่าจิตจะถอนขึ้นมาเอง เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วจงพิจารณาสภาวธรรม มีกายเป็นต้นตามเคย นี่เรียกว่า สัมมาสมาธิ และพึงทราบว่าสมาธิเป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพิจารณาโดยทางปัญญามาก ๆ รู้สึกอ่อนเพลียภายในจิตก็เข้าพักอยู่ในสมาธิ จิตมีกำลังแล้วถอนขึ้นมาควรแก่การพิจารณาต้องพิจารณา ทำอย่างนี้โดยสม่ำเสมอ สมาธิจะเป็นไปเพื่อความราบรื่น ปัญญาจะเป็นไปเพื่อความฉลาดเสมอไป จะเป็นไปเพื่อความสม่ำเสมอทั้งด้านสมาธิและด้านปัญญา


เพราะสมาธิ เป็นคุณในทางหนึ่ง ปัญญาเป็นคุณในทางหนึ่ง ถ้าจะปล่อยให้ดำเนินในทางปัญญาโดยถ่ายเดียวก็ผิด เพราะไม่มีสมาธิเป็นเครื่องหนุน ยิ่งถ้าปล่อยให้ดำเนินไปในทางสมาธิโดยถ่ายเดียวแล้ว ยิ่งเป็นการผิดมากกว่าทางด้านปัญญา เมื่อสรุปความลงแล้ว คุณธรรมทั้งสองประเภทนี้เทียบกันได้กับแขนซ้ายแขนขวา เท้าซ้ายเท้าขวาของคน คนคนหนึ่งเดินเหินไปไหนมาไหน และทำกิจการอะไร เท้าและแขนทั้งสองเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนคนนั้น เรื่องของสมาธิกับเรื่องของปัญญาก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าเราจะเห็นเสียว่าสมาธิดีกว่าปัญญา หรือปัญญาดีกว่าสมาธิแล้ว คนคนนั้นควรจะมีเพียงขาเดียว แขนเดียว ไม่มีสองแขน สองขาเหมือนอย่างคนอื่น ๆ ก็เรียกว่าเป็นคนแปลกจากโลกเขา


คนที่ทำตัวให้แปลกจากธรรมของพระ พุทธเจ้าก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน คือ ตำหนิปัญญาชมเชยสมาธิบ้าง ตำหนิสมาธิชมเชยปัญญาบ้างอย่างนี้ ที่ถูกขณะที่เราจะทำสมาธิก็ต้องเป็นหน้าที่ของสมาธิ และเห็นประโยชน์ในสมาธิจริง ๆ เวลาจะพิจารณาทางปัญญาก็ให้ทำหน้าที่ทางปัญญาและเห็นประโยชน์ในด้านปัญญา จริง ๆ ต่างพักไว้ตามกาลอันควร ไม่ให้สับสนระคนกันเช่นเดียวกับเท้าทั้งสอง เมื่อเท้าขวาก้าวไป เท้าซ้ายต้องหยุด เมื่อเท้าซ้ายก้าวไปเท้าขวาต้องหยุด ไม่ใช่จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน เพราะเหตุนั้น สมาธิกับปัญญาจึงเป็นคุณด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อสติกับปัญญาต่างก็มีกำลังเพียงพอ เพราะการฝึกฝนเป็นคู่เคียงกันมา สมาธิกับปัญญาก็จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันรบและเปลี่ยนกันรับอย่างนั้นเสมอไป เช่นเดียวกับแขนซ้ายแขนขวาทำงานร่วมกันฉะนั้น


นี่กล่าวเรื่อง สมาธิกับปัญญา ซึ่งเป็นธรรมจำเป็นเสมอกันสำหรับนิสัยผู้อบรมสมาธิมาก่อน เดี๋ยวจะเป็นสมาธิเลยเถิด โดยไม่เห็นปัญญาเป็นอีกแง่หนึ่ง คือถ้าเป็นธรรมจำเป็นจะควรใช้ในกาลอันควร ส่วนนิสัยของผู้หนักในด้านปัญญาอบรมสมาธิ จิตต้องหาความสงบไม่ได้ด้วยอำนาจของสมาธิอบรม ก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นผู้สกัดลัดกั้นจิตที่มีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในอารมณ์ ต่างๆ โดยกำหนดตามความฟุ้งของใจว่า ฟุ้งไปเพราะเหตุใด และมีสิ่งใดเป็นเหตุชักจูงจิตใจให้เป็นอย่างนั้น ปัญญาต้องตามค้นคว้าในสิ่งที่จิตไปสำคัญมั่นหมายนั้น ๆ จนกว่าจิตจะยอมจำนนต่อปัญญา แล้วเข้าสู่ความสงบได้ ความสงบของจิตประเภทนี้เรียกว่า สงบได้ด้วยปัญญา


นิสัยของบาง ราย แม้จิตจะเข้าสู่ความสงบ แต่ยังใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหรือคิดปรุงยังได้ โดยไม่เป็นข้าศึกต่อความสงบนั้น เราจะหาว่าจิตเป็นสมาธิแล้วทำไมจึงคิดปรุงได้ แล้วเกิดความสงสัยในความเป็นสมาธิของตน เรียกว่าไม่เข้าใจในนิสัยของตน แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ไม่เคยผ่านเคยรู้ เนื่องจากไม่มีผู้แนะนำแนวทางพอได้ยึดเป็นหลักฐาน เวลาเหตุการณ์เช่นนั้นได้ปรากฏขึ้นในตนเอง อาจจะสงสัยในปฏิปทาการดำเนินของตนได้ ดังนั้นจึงถือโอกาสแสดงให้บรรดาท่านผู้ฟังได้ทราบว่า จิตที่มีความสงบโดยวิธีของปัญญาเป็นพี่เลี้ยงอย่างนี้ มีความคิดปรุงได้ในขั้นหนึ่ง


แต่เมื่อเข้าถึงขั้นละเอียดเต็มที่ แล้วนั้น ไม่ว่าสมาธิประเภทใดจะหมดการปรุงแต่งเช่นเดียวกัน หมดสัญญาความจำในสิ่งทั้งหลาย สังขารความคิดความปรุง และวิญญาณความรับรู้ในสิ่งต่างๆ จะไม่ปรากฏในสมาธิประเภทละเอียดนั้น สรุปความ สมาธิขั้นกลางของนิสัยผู้ลงได้อย่างรวดเร็ว คือผู้ได้สมาธิก่อนไม่มีการปรุง เพราะถ้าเริ่มปรุงก็เริ่มจะถอนในขณะเดียวกัน แต่สมาธิที่สงบได้ด้วยอำนาจของปัญญาเป็นพี่เลี้ยงยังคิดปรุงได้โดยจิตไม่ถอน และทั้งสองนิสัยต้องมีสติรู้อยู่ในความรวมของตนด้วยกัน


วันนี้ได้ อธิบายมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิว่ามีความต่างกันอย่างไร อธิบายเท่าที่ควรสำหรับนักปฏิบัติของเราจะได้เข้าใจ และยึดไว้เป็นหลักต่อไป ได้ย้ำว่าสติกับปัญญาเป็นธรรมสำคัญมาก ผู้ฝึกหัดสติไม่จำเป็นจะต้อง ฝึกหัดเฉพาะเวลาทำความเพียรเท่านั้น ต้องฝึกหัดอยู่ตลอดเวลา จะเดินไปไหนทำอะไรก็ตามต้องเป็นผู้มีสติตั้งท่าต่อความเพียรของตนเสมอ ถ้ามีสติแล้วสัมปชัญญะก็ต้องมี เพราะสัมปชัญญะติดต่อสืบเนื่องมาจากสติที่ตั้งไว้ดีแล้ว ถ้าขาดสติเสียสัมปชัญญะก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจงพยายามอบรมสติที่เป็นภาคพื้นจนสามารถแก่กล้าขึ้นเป็นสติในความเพียร ภายในใจได้ จากนั้นก็กลายเป็นมหาสติขึ้นมาเพราะการอบรม และการตั้งสติอยู่เสมอ



 

2
บทความ (Blog) / วีระบุรุษ O’Hare ผู้พ่อและผู้ลูก
« เมื่อ: สิงหาคม 06, 2010, 04:13:48 am »

วีระบุรุษ O’Hare  ผู้พ่อและผู้ลูก

ใครที่เดินทางโดยเครื่องบินไปยังนครชิคาโกสหรัฐอเมริกา  จะต้องลงที่สนามบินชื่อ  “โอแฮร์” (O’Hare)  ทางการนคร     ชิคาโกได้ใช้ชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติให้แก่นายทหารอากาศชื่อ Butch O’Hare  วีระบุรุษสงครามโลกครั้งที่สอง

วีรกรรมของ Butch O’Hare  เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์  ค.ศ. 1942  ขณะนั้น  เขากำลังบิน fighter ของเขาเพื่อคุ้มกันเรือบรรทุกเครื่องบิน (carrier)  ชื่อ  “ss. Lexington”  บริเวณน่านน้ำ  New Guinea  เขาเห็นฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิด (bomber)  ของญี่ปุ่นมุ่งจะมาทิ้งระเบิดเรือ  ss. Lexington   เขาจึงรีบบินเข้าขัดขวางและยิง bomber ตก 6 ลำ  ทำให้  ss Lexington ไม่ถูกบอมบ์  และทหารบนเรือจำนวนเป็นพันๆ ชีวิตรอด  จากวีรกรรมนี้  Butch O’Hare ได้รับเหรียญกล้าหาญจากสภาคองเกรส และ ชาวเมืองชิคาโกได้ตั้งชื่อสกุล  O’Hare  เป็นชื่อสนาม บินเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา

แต่เรื่องของ Butch O’Hare เป็นเรื่อง  “ปลายน้ำ”  (downstream)  ที่มาจากแหล่งน้ำที่สำคัญกว่า  นั่นคือ  จากบิดาของเขาที่เป็น  “ต้นน้ำ” (upstream)  ให้แก่ชีวิตของเขา

Eddie O’Hare ผู้พ่อตั้งความหวังที่จะเห็นลูกชาย (Butch) เป็นนักบินประจำกองทัพเรือ  ขณะนั้น Eddie O’Hare เป็นนักธุรกิจ  เป็นเจ้าของสนามม้าแข่ง มีส่วนเชื่อมโยงกับมาเฟียที่มีชื่อในขณะนั้น คือ Al Capone ในช่วงทศวรรษ 1920  ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองมาก  เงินทองไหลมาเทมา  แต่อยู่มาวันหนึ่ง  เขาได้ยิน  “เสียงมโนธรรม” ในจิตใจของเขา  ที่ทำให้เขาสำนึกได้ว่า  ถ้าหากเขายังยึดอาชีพสีเทาๆ เช่นนี้  อาจจะเป็นอุปสรรคกับอนาคตของลูกชายในการสมัครเป็นทหารเรือ

Eddie  ผู้พ่อจึงเปลี่ยนอาชีพ และทำข้อตกลงกับทางการ  โดยอาสาเป็นสายให้ข้อมูลเกี่ยวกับ  Al Capone  ให้แก่สรรพากร (IRS)  จนกระทั่ง Al Capone ถูกจับในปี ค.ศ. 1931  และถูกส่งไปขังคุกที่เกาะ Alcatraz (ที่จำขังนักโทษคดีอุกฉกรรจ์)  นอกฝั่ง San Francisco

แต่  Eddie  ผู้พ่อก็ต้องแลกกับชีวิตของเขาเช่นกัน  ในปี ค.ศ. 1939 เขาถูกลูกน้องของมาเฟียลอบยิงถึงแก่ความตาย  การกลับใจตาม  “เสียงมโนธรรม”  ของ Eddie  เป็นต้นเหตุ  เป็น  “ต้นน้ำ”  ที่นำให้ลูกชาย Butch สามารถ  เข้าเรียนใน U.S. Naval Academy ได้  และเป็นวีรบุรุษในสงครามโลกครั้งที่สอง  และชื่อสกุล O’Hare ของทั้งคู่เป็นชื่อที่ติดปากไม่ใช่เฉพาะชาว    ชิคาโกเท่านั้น  แต่กับนักเดินทางทางเครื่องบินผ่านนครชิคาโกทุกคนด้วย

3
บทความ (Blog) / เศรษฐีหม้าย
« เมื่อ: สิงหาคม 06, 2010, 04:07:09 am »
เศรษฐีหม้ายคนหนึ่งมีลูกชายคนเดียว เขาได้หาพี่เลี้ยงมาเพื่อดูแลลูกชายคนนี้ตั้งแต่เกิด  จนกระทั่งอายุสามสิบเศษก็เกิดเหตุร้ายทำให้ลูกชายเสียชีวิต

เศรษฐีเศร้าโศกมาก  ไม่ยอมทาน  ไม่ยอมนอน  จนกระทั่งสุขภาพทรุดโทรม และหัวใจวายเสียชีวิตในที่สุด

เศรษฐีคนนี้ไม่มีญาติ ไม่มีพี่น้อง  และดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้ทำพินัยกรรมระบุว่าจะมอบทรัพย์สินมรดกให้ใครด้วย  เมื่อเป็นเช่นนี้  ตามกฎหมายของบ้านเมืองทรัพย์สินของเขาทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน

เมื่อกรมธนารักษ์ดูแลทรัพย์สินของเศรษฐีคนนี้ไปได้สักสองสามปี  ก็หาทางนำทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินมาทำให้เกิดประโยชน์  โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดคือ  นำภาพวาดต่างๆ ออกประมูลขาย  (เศรษฐีท่านนี้เป็นนักสะสมภาพวาดที่มีชื่อของโลก)

เมื่อทราบข่าวว่าจะมีการประมูลขายภาพวาด  พี่เลี้ยงที่เคยดูแลลูกชายก็แวะไปที่บ้าน  มิใช่ว่าเธอมีเงินไปร่วมประมูลกับคนอื่นเขา  แต่เพราะว่าเธอต้องการจะรื้อฟื้นความทรงจำที่ดีงามกับเศรษฐี และกับลูกชายที่เธอได้เลี้ยงดูเปรียบเสมือนกับลูกของเธอเอง

การประมูลดำเนินไปหลายวัน  แต่ละวันมีผู้สนใจในศิลปกรรมมาร่วมประมูลมากมาย  และรูปภาพสวยๆ งามๆ ก็ได้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงเปลี่ยนมือไปยังเจ้าของใหม่  ทำให้กรมธนารักษ์ได้เงินเข้ากองคลังมากมาย ........  และในที่สุดก็เหลือภาพเพียงภาพเดียวขนาดไม่ใหญ่นัก  เป็นภาพเขียนลายดินสอ  เป็นรูปใบหน้าลูกชายของเศรษฐีซึ่งเศรษฐีเป็นคนวาดเองหลังจากที่ลูกชายเสียชีวิตไป   .......สำหรับพี่เลี้ยงคนนี้ถือว่าภาพนี้เป็นภาพที่สวยงาม และมีความหมายที่สุด 

เมื่อเจ้าหน้าที่ประมูลประกาศเริ่มประมูล  ปรากฎว่าไม่มีใครยกมือเสนอราคาประมูลเลย  ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจ  เพราะเขาทุกคนเหล่านั้นกำลังรอให้การประมูลภาพนี้สิ้นสุดลง  เพื่อการประมูลศิลปกรรมที่เป็นรูปปั้น  รูปสลัก  รูปประดับเพชรพลอย       ชุดเซรามิก  ชุดจานชามอาหารที่เป็นของเก่าแก่  จะได้เริ่มขึ้น

ในเมื่อไม่มีใครสนใจ  พี่เลี้ยงคนนี้ก็ยกมือและเสนอราคาประมูลเพียง 20 เหรียญ  ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็หันมามองด้วยสายตาที่บ่งถึงการดูถูก  แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร  เพราะต่างก็ไม่สนใจในภาพนี้อยู่แล้ว

ในที่สุด   พี่เลี้ยงก็ประมูลภาพวาดรูปใบหน้าลูกชายเศรษฐีได้ในราคาเพียง 20 เหรียญ  ซึ่งต่างกับราคาของรูปภาพอื่นๆ ราวฟ้ากับดิน  เพราะภาพก่อนๆ นั้นแต่ละภาพประมูลกันในราคาเป็นแสนๆ เหรียญ  และบางภาพถึงล้านเหรียญก็มี

ในขณะที่เจ้าหน้าที่มอบภาพให้แก่พี่เลี้ยงที่ตั้งใจจะเก็บภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึกถึงความทรงจำอันมีค่า อันสวยงาม  เธอก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดซ่อนไว้ระหว่างภาพกับกรอบรูป  เธอจึงดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมา  ความที่เธออ่านไม่ออก  เขียนไม่ได้  จึงมอบให้เจ้าหน้าที่ประมูลช่วยอ่าน  เมื่อเจ้าหน้าประมูลรับมาอ่าน  เขาก็ตกตะลึง และประกาศต่อที่ประชุมประมูลว่า  เอกสารนี้เป็นพินัยกรรมที่เศรษฐีแอบซ่อนไว้ในภาพเขียนของลูกชายของตน  และเขียนไว้ด้วยถ้อยคำง่ายๆ ว่า:
 
“ถ้าบุคคลใดที่สนใจเป็นเจ้าของรูปภาพของลูกชายคนเดียวของผมคนนี้  ก็เท่ากับว่า เขา/เธอ      คนนั้นก็คงรักลูกชายของผมเท่ากับผม   ผมจึงขอทำพินัยกรรมมอบมรดกทรัพย์สินทั้งหมดให้กับ เขา/เธอ คนนั้น”

เมื่อเจ้าหน้าที่ประมูลอ่านพินัยกรรมนั้นจบแล้ว  จึงมอบเอกสารนี้ให้กับเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์จัดการด้านเอกสารสิทธิ์มอบทรัพย์สิน ที่ดิน คฤหาสน์ และ สิ่งของในบ้านทุกชิ้น  รวมทั้งเงินสดจากการประมูลภาพที่เพิ่งได้มาให้แก่พี่เลี้ยงคนนี้ทั้งหมด


 

4

“ความสุขมิใช่อยู่ที่สิ่งที่คุณหามาได้ แต่อยู่ที่สิ่งที่คุณให้ความพอใจ”


 
ทุกวันนี้คนทำงานที่เรียกว่า “มนุษย์เงินเดือน” ต่างแบกความทุกข์ไว้บนหลังจนหลังอานเกือบจะทุกคน โดยตั้งหัวข้อไว้ว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีสุข อะไรที่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข คำตอบเกือบ 100 % คือ การมีหนี้สินระบบทุนนิยมที่ถาโถมเข้าสังคมไทยแบบไร้ภูมิต้านทาน ตามด้วยการชวนเชื่อ โดนผู้ที่ฉลาดกว่า หลอกเอาเงินล่อและหลอกให้เกิดหนี้ก้อนโตสอดไส้คำว่า ใช้หนี้เป็นทุน

คนไทยเราตกหลุมกระแสนี้


ความล้าสมัยไร้ค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากเพียงนั้น จึงเกิดความคิดที่ต่อสู้กัน 2 ทาง ทางหนึ่ง เพื่อได้เทคโนโลยีทันสมัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็ต้องลงทุน ในอีกทางหนึ่ง ของที่มีอยู่ยังใช้ได้ ใช้เท่าที่ต้องการจะใช้ก็พอ บางที นี่อาจเป็นปัญหาเรื่องความคุ้มค่า ซึ่งต้องเถียงกันต่อไปว่า ค่าที่ว่านั้น หมายถึง อะไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความจริงที่ปรากฏก็คือ ความไม่เที่ยงแท้

เห็นช้างขี้ก็อยากจะขี้ให้ดีกว่าช้าง เห็นคนมีเงินเป็นคนเท่ห์ โก้หรู ทำอะไรก็ไม่ผิด ทุจริตก็ยังถูกยกย่อง กระแสจอมปลอมถูกสร้างขึ้น

เห็นความสุขอยู่ที่การมีสิ่งของประดับรอบตัว ความสำเร็จได้มาจากการครอบครอง การมี การสะสม สมบัติเงินทอง ตามด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตราเพื่อซื้อหาความสุข วัฒนธรรมเลียนแบบ โดยที่เราไม่ได้ตระหนักถึงรายได้ที่มี ถูกการตลาดมอมเมาด้วยการให้ใช้เงินล่วงหน้า เบิกจ่ายก่อนผ่อนทีหลัง

 
ความอนิจจัง ของสิ่งต่างๆ ยังคงมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง หากใจติดยึด ย่อมนำทุกข์มาให้ในที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่องความไม่เที่ยงแท้ มักเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องความตาย เพราะความตายไม่มีใครหนีพ้น และสามารถเตือนสติผู้คนให้เข้าใจถ่องแท้ว่า ไม่มีคุณค่าฝ่ ายวัตถุใดๆ ที่อยู่เหนือคุณค่าฝ่ ายจิตวิญญาณ คนเรายอมสูญเสียทรัพย์สมบัติ และวัตถุทุกอย่าง เพียงเพื่อต่ออายุให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกหน่อย แต่กระนั้น คนเราอาจยอมตาย เพื่อรักษาความยุติธรรม หรือ เพื่อความดี หรือ เพื่อความรัก อันเป็นคุณค่าฝ่ายจิตวิญญาณ


ในชีวิตเรามีบางอย่างที่มี แต่เรามักคิดว่าไม่มี สิ่งนั้นคือ การมีชีวิต ไม่มีใครมีความสุขได้หากไร้ชีวิต ไม่มีทุกข์ใดในโลกจะหนักหนาเท่ากับการไม่เห็นคุณค่าของชีวิต คนที่เห็นค่าของชีวิตย่อมเห็นค่าของโลกใบนี้



5
บทความ (Blog) / Creative Problem Solving
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 02:49:23 pm »

ชายคนหนึ่งระหว่างเดินทางไปตลาด  พบกระเป๋าเงินตกอยู่บนถนน  เมื่อเปิดกระเป๋าพบเงินสดจำนวนเก้าพันบาท  และนามบัตรซึ่งเข้าใจว่าต้องเป็นชื่อและที่อยู่ของเจ้าของ  พร้อมกับมีโน๊ตเล็กๆ เขียนข้อความไว้ว่า  ถ้าใครพบกระเป๋าใบนี้  กรุณาส่งคืนเจ้าของตามนามบัตรนี้  และจะให้รางวัลสิบเปอร์เซ็นต์

 

                ชายผู้พบกระเป๋าถึงแม้จะเป็นคนยากจน แต่เขาเป็นคนสุจริต  ไม่คิดคดโกงผู้อื่น  จึงไม่คิดที่จะยึดเงินในกระเป๋าตั้งเก้าพันบาทเป็นของตน  ถึงแม้ว่าเงินจำนวนนี้ถือว่ามากมายสำหรับครอบครัวเขา

 

                เขาตามหาเจ้าของจนพบ  ปรากฎว่าเป็นพ่อค้าในตลาดนั้นที่มีชื่อเสียงว่าค่อนข้างจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว  ชายยากจนยื่นกระเป๋าเงินคืนให้  ส่วนชายเจ้าของกระเป๋าแทนที่จะกล่าวขอบคุณ  กลับรีบเปิดกระเป๋าและนับธนบัตรในนั้น  พร้อมกับอุทานออกมาว่า  ชายผู้พบกระเป๋าคงหยิบเงินหนึ่งพันบาทที่เป็นค่ารางวัลออกไปแล้ว  ในกระเป๋าจึงมีเงินเหลือเพียงเก้าพันบาท  ส่วนชายยากจนก็ปฏิเสธว่า  เขาไม่ได้หยิบเงินออกไปเลย  ในกระเป๋ามีเงินเพียงเก้าพันบาทจริงๆ ตอนที่เขาพบมันบนถนน

 

                ทั้งคู่ถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่  โดยต่างคนต่างไม่ยอมกัน   ในที่สุดจึงตกลงพากันไปหาผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ใหญ่บ้านรับฟังเรื่องราวจากทั้งสองฝ่าย   โดยให้ฝ่ายเจ้าของกระเป๋าที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว  เริ่มเล่าเรื่องของตนก่อน......เมื่อเล่าจบแล้วก็ถามผู้ใหญ่บ้านว่าจะเชื่อเขาไหม?   ผู้ใหญ่บ้านตอบว่า  แน่นอน  เชื่อพ่อค้าใหญ่แห่งหมู่บ้านแน่ๆ........แล้วจึงไปสอบถามเรื่องราวกับชายผู้พบกระเป๋า   ชายผู้นั้นก็เล่าเรื่องในด้านของตน  และถามคำถามเดียวกันว่า  เชื่อเขาไหม?  ผู้ใหญ่บ้านก็ตอบเหมือนกับที่ตอบพ่อค้าว่า  แน่นอน  ตนเชื่อว่าชายยากจนเป็นคนสุจริตแน่ๆ......  ทั้งคู่จึงถามผู้ใหญ่บ้านว่า  ในเมื่อเชื่อคำพูดของทั้งสองคน  แล้วจะ  ตัดสินเรื่องนี้อย่างไร?......

 

                ผู้ใหญ่บ้านยิ้ม และสรุปว่า  ง่ายนิดเดียว  คุณพ่อค้ายืนยันว่าในกระเป๋ามีเงินหนึ่งหมื่นบาท  ส่วนชายยากจนยืนยันว่ามีเก้าพันบาท  เพราะฉะนั้นกระเป๋านี้เป็นคนละใบกับที่พ่อค้ายืนยัน ไม่ใช่ของพ่อค้า    พูดแล้วจึงยื่นกระเป๋าที่มีเงินเก้าพันบาทให้แก่ชายยากจนนำกลับบ้านไปใช้  เพราะถือว่าไม่มีเจ้าของ.......ส่วนพ่อค้าก็ตกใจอุทานออกมาว่า  แล้วกระเป๋าเงินของเขาล่ะ   ผู้ใหญ่บ้านก็ตอบว่า  รอให้คนที่พบกระเป๋าที่มีเงินหนึ่งหมื่นบาทนำมาคืนให้ก็แล้วกัน

 

เบื้องหลังการตัดสินความ         

                ผู้ใหญ่ บ้านคนนี้เป็นคนมีเชาว์ มีปรีชาญาณแห่งพระพรการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ข้อ ค. ก่อนหน้านั้นเขามีข้อมูลความจริงเกี่ยวกับชีวิตของทั้งสองอยู่แล้ว ดังนี้.-

 

                .......ตัวพ่อค้าคนนี้  เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว  ในแต่ละวันหลังจากใช้เงินจากกระเป๋าของเขาแล้ว  ทุกค่ำเขาจะเติมเงินให้ครบเก้าพันบาท  เพื่อว่า  ถ้าหากว่าวันหนึ่ง  กระเป๋าสตางค์ของเขาตกหล่นหาย  (อย่างที่เกิดเหตุการณ์ในวันนี้)  เขาจะสามารถได้มันคืนมาด้วยแรงจูงใจ 10 เปอร์เซนต์  โดยเขาไม่ต้องเสียค่ารางวัลเลย  โดยจะยืนยันว่า  เงินในกระเป๋าต้องมีครบหนึ่งหมื่นบาทเสมอ  (ซึ่งความจริง  เขาจงใจให้มีเพียงเก้าพันบาท  โดยจะอ้างว่า  ผู้พบดึงหนึ่งพันบาทที่เป็นค่ารางวัลออกไปเองก่อนแล้ว)

.......ส่วนด้านชายยากคนผู้พบกระเป๋าสตางค์  เป็นชาวนายากจน  หาเช้ากินค่ำ  แต่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต  เขามีครอบครัวที่น่ารัก ภรรยาตั้งครรภ์ใกล้คลอด  วันนั้นเขาคงมาตลาดเพื่อซื้อนม พร้อมทั้งยาประจำบ้าน  และติดต่อหมอตำแยเพื่อให้มาทำคลอดเมื่อถึงเวลาที่ภรรยาจะคลอดบุตร

 

                ......บนพื้นฐานการตัดสิน  ผู้ใหญ่บ้านก็ให้เหตุผลว่า  ถึงแม้ว่าเขารู้ว่ากระเป๋าเงินใบนั้นเป็นของพ่อค้าผู้ตระหนี่ก็จริง  แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่ามีเงินหนึ่งหมื่นบาท  โดย อ้างว่าชายยากจนดึงเงินรางวัลออกไปเองก่อนเป็นการแสดงเจตนาแบบฉลาดแกมโกงของ ตนที่จะไม่ยอมเสียเงินหนึ่งพันบาทเป็นค่ารางวัลให้แก่ผู้พบกระเป๋า   .......คำพูดของพ่อค้าเจ้าของกระเป๋าที่ยืนยันว่า  เงินต้องมีครบหนึ่งหมื่นบาททั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง  เป็นคำให้การแบบฆ่าตัวตายเองของพ่อค้า   ผู้ใหญ่บ้านจึงตัดสินความให้พ่อค้ารอรับกระเป๋าคืนจากคนที่พบกระเป๋าพร้อมเงินครบหนึ่งหมื่นบาท   ส่วนกระเป๋าใบนี้พร้อมเงินเก้าพันบาทมอบให้แก่ชายยากจนเป็นรางวัลสำหรับความซื่อสัตย์สุจริต  และในขณะเดียวกัน  ก็เป็นบทเรียนแก่พ่อค้าผู้ร่ำรวยแต่ใจตระหนี่ถี่เหนียวคนนี้ด้วย

 

               

 

                Rabbi Nilton Bonder

Shambala Publication Inc., Boston; 1999)

6
รับสายลมเย็นหน้าระเบียง / my baby girl
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 02:32:50 pm »
Profile

 Age :5 months  In mama's belly
 Weights: 280 grams
 Lenghts : 17 Centimetres
 Sex : female
 Name : No name
Father : Unknown  5555555555

 :23: :23 :43:

7

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ' ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ '
  เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
 
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี โดย เฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก  ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต ' ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืช ทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมีทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้


คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร


  พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของเราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษาค้นคว้าและคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้ เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป .


อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย


1. มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2 . มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการ เหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มี เลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ   อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและ เป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผล เรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที ก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก

- ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม สรรพคุณในการรักษา - หลัง จากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะ ไม่ต้องตกใจเป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง อาการ มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล *** ตำรานี้ห้ามซื้อขายหรือคิดเป็นเงินค่ารักษา และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธา และกุศลจิตของท่าน ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข

8
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม / วิธีใช้หนี้พ่อแม่
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 09:38:02 pm »

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ : ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน



1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง
และ นี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
 
2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

3. ผู้ใดก็ตาม
ที่ คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ

4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่า คิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)

ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว

ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อ เร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คน ไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่  คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ

จะไม่เอาอีกแล้ว  เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อัน ว่าโทษทัณฑ์ใด  ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ

นี่ แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ  ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว   (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา

ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้ แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด

7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่  ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล

8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของ พ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
                                                                                                         10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่าง เรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ  บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
 

9
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สนทนากับ ในหลวงรัชกาลที่ ๙
หลวงพ่อสรุปว่า นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ อาตมาจะถวายพระพร ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ

ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลกนี้”

ฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชานิกรของพระองค์เพียงใดก็ตามที พระราชจริยาวัตรของพระองค์ ก็ย่อมไม่เป็นที่ที่ถูกใจของบุคคลบางพวก บางคณะ อาจจะมีอยู่

ในครั้งหนึ่ง อาตมาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ได้ปรารภกับพระองค์ถึงภารกิจที่อาตมาทำว่า
“การทำการสงเคราะห์ ปวงชนชาวไทย ตามกำลังที่จะรวบรวมได้ จากบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ทำการแจกอาหารการบริโภค ยารักษาโรค สร้างโรงเรียนตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ แต่การกระทำแบบนี้ กลับมีคนบางพวกบอกว่า อาตมาเป็นพระการเมือง”

พระองค์ก็ตรัสว่า
“ผมก็ทราบเหมือนกัน เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระการเมือง”

แต่พระองค์ก็ทรงถามว่า
“หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง”

ก็เลยถวายพระพรไปว่า
“อาตมาไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะถือว่าอาตมาไม่เคยสมัครสภาผู้แทนราษฏร และก็ไม่เคยอยากจะเป็นรัฐมนตรี เขาจะหาว่าการเมืองหรือการบ้านก็ช่าง ถือว่าเฉย ๆ ถือตามหลักพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “นินทา ปสังสา” ขึ้นชื่อว่า นินทาและสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของโลก อาตมาไม่หนักใจในคำนินทาและสรรเสริญ เพราะไม่มีความสงสัย”

ต่อนี้พระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสว่า
“ผมก็เหมือนกันแหละขอรับ เมื่อก่อนนี้เขาลือว่าผมฆ่าพี่ แต่เวลานี้เขาลือกันว่าผมฆ่าพ่อตา”

ความจริงช่วงหลัง อาตมาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า
“การลือที่ว่าฆ่าพ่อตานั้น มีความหมายเป็นยังไง”

พระองค์ก็ตรัสบอกว่า
“เขาลือกันว่าพ่อตาผมเป็นไข้ ผมเอาเหล้ากรอกปาก แล้วเลยพาพ่อตาไปวิ่ง พ่อตาก็เลยตาย”

แล้วจึงได้ทูลถามพระองค์ว่า
“แล้วมหาบพิตร มีความรู้สึกยังไง ในเมื่อคำนินทาปรากฏขึ้น”

พระองค์ก็ตรัสว่า
“เรื่อย ๆ ขอรับ”

ก็หมายความว่า ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ความดีหรือความชั่วที่จะมีขึ้นได้อาศัยการกระทำเป็นสำคัญ แล้วเมื่อเราทำความดีแล้วใครจะว่าชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม ถ้าเราทำความชั่ว ใครจะสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตาม

นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ (ประมาณปี ๒๕๓๓) อาตมาจะถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ

http://board.palungjit.com/f23/หลวงพ่อพระราชพรหมยาน-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ-สนทนากับ-ในหลวง-247003.html

10
คัดลอกจาก http://www.tumnan.com/king_kasem.html

ต่อไปนี้เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงปฏิสันถารกับพระอินทรวิชยาจารย์ และหลวงพ่อเกษม เขมโก  ซึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสช่วยหลวงพ่อถวายพระพรด้วย  ข้อความนี้ข้าพเจ้าบันทึกไว้หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้วดังนี้

ในหลวง
 “หลวงพ่อประจำอยู่ที่วัดนี้หรือ”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพรอาตมาประจำอยู่ที่สุสานไตรลักษณ์”
 
ในหลวง
 “อยากไปหาหลวงพ่อเหมือนกัน แต่หาเวลาไม่ค่อยได้ ได้ทราบว่าเข้าพบหลวงพ่อยาก”
 
หลวงปู่
 “พระราชาเสด็จไปป่าช้าเป็นการไม่สะดวก เพราะสถานที่ไม่เรียบร้อย อาตมาภาพจึงมารอเสด็จที่นี่ ขอถวายพระพร มหาบพิตรสบายดีหรือ”
 
ในหลวง
 “สบายดี”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพรมหาบพิตรพระชนมายุเท่าไร”
 
ในหลวง
 “ได้ ๕๐ ปี”
 
หลวงปู่
 “อาตมาภาพได้ ๖๗ ปี”
 
ในหลวง
 “หลวงพ่ออยู่ตามป่ามีความสงบ ย่อมจะมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้มากกว่าพระที่วัด ในเมือง  ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการปกครองและงานอื่นๆ จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพร อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะอยู่ป่าไม่มีภารกิจอย่างอื่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับศีล บริสุทธิ์ด้วย เพราะเมื่อศีลบริสุทธิ์จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ไม่ครอบงำก็ปฏิบัติได้”
 
ในหลวง
 “การปฏิบัติอย่างพระมีเวลามากย่อมจะได้ผลเร็ว ส่วนผู้ที่มีเวลาน้อยมีภารกิจมากจะปฏิบัติ อย่างหลวงพ่อก็ไม่อาจทำได้ แล้วจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร เราจะหั่นแลกช่วงเวลาช่วงเช้าให้สั้น เข้าจะได้ไหม คือ ซอยเวลาออกจากหนึ่งชั่วโมงเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นสิบนาที หรือห้านาที แต่ให้ได้ผล คือ ได้รับความสุขเท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น นั่งรถยนต์จากเชียงใหม่มาลำปางก็สามารถปฏิบัติได้ หรือระหว่างที่มาอยู่ในพิธีนี้มีช่วงที่ว่างอยู่ ก็ปฏิบัติเป็นระยะไปอย่างนี้จะถูกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อยากจะเรียนถาม”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพร จะปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้ ถ้าแบ่งเวลาได้”
 
ในหลวง
 “ไม่ถึงแบ่งเวลาต่างหากออกมาทีเดียว ก็อาศัยเวลาขณะที่ออกมาทำงานอย่างอื่นอยู่นั้นแหละ ได้หรือไม่ คือ ใช้สติอยู่ทุกขณะจิตที่เกิดดับ ทำงานด้วยความรอบคอบให้สติตั้งอยู่ตลอด เวลา”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปฏิบัติอย่างนั้นถูกแล้ว การที่มหาบพิตรเสด็จพระราชดำเนิน มาปฏิบัติงานอย่างนี้ ก็เรียกว่าได้ทรงเจริญเมตตาในพรหมวิหารอยู่”
 
ในหลวง
 “ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น เช่นว่ามาตัดลูกนิมิตนี้ ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ด้วยขี้เกียจมาจึงมี กำลังใจมา และเมื่อได้โอกาสได้เรียนถามพระสงฆ์ว่า การปฏิบัติธรรมเป็นระยะเวลาสั้นๆ เป็น ตอนๆ อย่างนี้จะได้ผลไหม อุปมาเหมือนช่างทาสีผนังโบสถ์ เขาทาทางนี้ดีแล้วพัก ทาทาง โน้นดีแล้วพัก ทำอยู่อย่างนี้ก็เสร็จได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย จึงอยากเรียนถามว่าปฏิบัติอย่างนี้ จะมีผลสำเร็จไหม”
 
หลวงปู่
 “ปฏิบัติอย่างนั้นก็ได้โดยอาศัยหลัก ๓ อย่าง คือ มีศีลบริสุทธิ์ ทำบุญในชาติปางก่อนไว้มาก มี บาปน้อย ขอถวายพระพร”
 
เจ้าคุณ
 “ได้ตามขั้นของสมาธิ คือ อุปจารสมาธิได้สมาธิเป็นแต่เฉียดๆ ขณิกสมาธิ ได้สมาธิเป็นขณะๆ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ได้สมาธิแน่วแน่ดิ่งลงไปได้นานๆ (อธิบายละเอียดกว่าที่บันทึกนี้)
 
ในหลวง
 “ครับ ที่หลวงพ่อว่ามีศีลบริสุทธิ์ ชาติก่อนทำบุญไว้มากอยากทราบว่าผมเกิดเป็นอะไร ได้ทำ อะไรไว้บ้าง จึงได้มาเป็นอย่างนี้” (หลวงพ่อยิ้มและนิ่ง แล้วหันมาทางข้าพเจ้าบอกว่าตอบยาก)
 
ข้าพเจ้า
 “ขอถวายพระพร หลวงพ่อไม่อาจจะพยากรณ์ถวายมหาบพิตรได้”
 
เจ้าคุณ
 “หลวงพ่ออาจจะเกรงพระราชหฤทัยมหาบพิตรก็ได้ ขอถวายพระพร”
 
ในหลวง
 “หลวงพ่อไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นพระราชา ขอให้ถือว่าสนทนาธรรมก็แล้วกันยินดีรับฟังมีคน พูดกันว่า ชาติก่อนผมเกิดเป็นนักรบมีบริวารมาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ศีล  ๕ จะบริสุทธิ์ได้อย่าง ไร? การเป็นนักรบนั้นจะต้องได้ฆ่าคนสงสัยอยู่” (หลวงพ่อหันมากระซิบกับข้าพเจ้าว่า เอใคร ทำนายถวายท่านอย่างนั้นก็ไม่รู้ เราไม่รู้ เราไม่มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ตอบยาก ต้องหลวงพ่อเมืองซิ)
 
ข้าพเจ้า
 “ขอถวายพระพร หลวงพ่อยืนยันว่า มหาบพิตรมีศีลบริสุทธิ์และทรงมีบุญมาก”
 
ในหลวง
 “เรื่องบุญกับกุศลนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตามที่รู้ผู้ทำบุญ หรือผู้มีบุญได้ผลแค่เทวดาอยู่สวรรค์ ผู้มี กุศลหรือทำกุศล มีผลให้ได้นิพพาน ถ้าอย่างนั้นที่ว่าพระราชามีบุญมากก็คงได้แค่เป็นเทวดา อยู่บนสวรรค์เท่านั้นไม่ได้นิพพาน ทำไมเราไม่พูดถึงกุศลกันมากๆ บ้าง หลวงพ่อสอนให้คน ปฏิบัติธรรมตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อบ้างหรือเปล่า”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพร อาตมาภาพได้ทราบว่าที่วัดปากน้ำ วัดมหาธาตุ ก็มีสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน มหาบพิตรเคยเสด็จไปบ้างไหม”
 
ในหลวง
 “ทราบ แต่ไม่เคยไป หลวงพ่อสอนอย่างไร อยากฟังบ้างและอยากได้เป็นแนวปฏิบัติเอาอย่างนี้ ได้ไหม มีเครื่องหรือเปล่า” (นายชุมพลกระซิบข้าพเจ้าว่า...มีเทป)
 
ข้าพเจ้า
 “ขอถวายพระพร เครื่องเทปของวัดมี”
 
ในหลวง
 “ขอให้หลวงพ่อสอนตามแนวของหลวงพ่อที่เคยสอน จะสอนอะไรก็ได้”
 
หลวงปู่
 “ขอถวายพระพร มีเป็นประเภทภาษิตคติธรรมต่างๆ”
 
ในหลวง
 “อะไรก็ได้ ขอให้เป็นคำสอนก็ใช้ได้”
 
หลวงปู่
 “ได้ ขอถวายพระพร”
 
ในหลวง
 “ขอนมัสการลา”
 
(ทรงกราบแล้วเสด็จพระราชดำเนินถึงประตูพระอุโบสถ เสด็จกลับมาที่หลวงพ่ออีก) แล้วตรัสว่า “หลวงพ่อจำหมอดนัยได้ไหม เคยส่งมาพยาบาลหลวงพ่อที่คราวหลวงพ่ออาพาธมาหลายปีแล้ว ผมจะให้เขานำเครื่องบันทึกมา”
 
หลวงปู่
 “จำได้ ขอถวายพระพร”
 

(หมายเหตุ เจ้าคุณฯ หมายถึง เจ้าคุณพระอินทรวิชยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดคะตึกเชียงมั่น)

“สัพเพ ชนา สุชิโต โหนตุ”

หลวงพ่อเกษม เขมโก

(บทความทั้งหมดนี้ได้คัดลอกมาจาก หนังสือหลวงพ่อเกษม เขมโก)

หน้า: [1] 2