อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > หลวงตามหาบัว

ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ :หลวงตาพระมหาบัว

<< < (2/3) > >>

ฐิตา:


เกี่ยวกับลักษณะการนิพพานของพระอรหันต์นั้น
... องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้ ...

“...จิตที่ทำลายสมมุติหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว
อะไร เวทนาไหน จะไปแทรก นี่เราถึงได้กล้าพูดว่า
พระอรหันต์ตาย ตายเมื่อไร ตายที่ไหน ตายเรื่องอะไร ด้วยเหตุผล
กลไกอะไรก็ตาม ก็จิตพระอรหันต์ล้วนๆ ว่างั้นเลย
ท่านไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติ..
คือการตาย กิริยาแห่งการตายต่างๆ นั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด
ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จึงไม่วิตกวิจารณ์..
เรื่องการเป็น การตาย ...
แล้วคำว่าบริสุทธิ์แล้วนั้น จะมีกาลสถานที่
เวล่ำเวลาที่ไหนเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ เป็นที่ให้เกิด
สัญญาอารมณ์กับท่าน
นิพพานท่าไหนจะดี หรือนิพพานท่าไหนจะเสียที
หรือตายท่าไหนดีท่าไหนไม่ดีท่านไม่มี ตายท่าไหนก็คือพระอรหันต์ตาย
เอ้า เราพูดเรื่องตาย จะตายด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม
ตายด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ตาม
จะเข้าสมาธิสมาบัติ หรือไม่เข้าก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสำคัญทั้งนั้นไม่มีอันใด
ที่จะลบล้างความบริสุทธิ์นั้นได้เลย
ท่านเป็นพระอรหันต์อยู่เต็มตัว ทุกกาล สถานที่ อิริยาบถ .."

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๓๙๗
***********

"พอลมหายใจขาดปั๊บ สมมุตินี้ขาดพร้อมกันเลย
ความรับผิดชอบขาดพร้อมกันไปเลย ท่านเรียกว่านิพพานสมบูรณแบบ
แต่ก่อนเรื่องความสมบูรณ์ในจิตนั้นสมบูรณ์
แต่มันมีสมมุติที่ป้วนเปี้ยนๆ
อยู่นั้นให้รับผิดชอบ จึงเรียกว่ายังไม่สมบูรณ์
ที่ยังมีขันธ์ให้รับผิดชอบอยู่ ท่านจึงเรียกว่า...
... สอุปาทิเสสนิพพาน ...
จิตถึงวิมุตติหลุดพ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
แต่ยังมีความรับผิดชอบอยู่ในธาตุในขันธ์ ทีนี้
อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุขันธ์นี้ปล่อยโดยสิ้นเชิงแล้ว
จิตปล่อยไปหมดนั้น เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
สมมุติหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ
ขันธ์นี้เป็นวาระสุดท้ายของสมมุติ หมดในขณะนั้น
ท่านเรียกว่าจิตหมดสมมุติ จิตถึงนิพพาน”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า๘๖๖
**************

“เรายังไม่ลืมหลวงปู่ขาวท่าน เวลาท่านกำลังเพียบ
คือท่านไม่ให้ใส่ออกซิเจน
ท่านไม่ให้เอาใส่ แล้วพวกนั้นก็เอาไว้ข้างนอก
คือท่านห้ามไม่ให้เอาใส่ เราเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์
ไปยุ่งกับท่านทำไม

ทีนี้พอเอาเข้าไปจ่อไปถูกท่าน ... ทั้งๆ ที่ท่าน
ก็เพียบอยู่แล้วนะ ท่านยังปัดมือปั๊บออกเลย
ขนาดหลวงปู่ขาวแล้ว
ท่านจะมีปัญหาอะไร ว่างั้นเลย จะตายท่าไหน
ก็ตายซิ ท้าทายก็ได้
เอหิปัสสิโก ท้าทายธรรมของจริงได้...
... ดีดผึงเดียวไปเลย ว่าจะไม่อยู่แล้ว...
ไม่อยู่ มันก็หมดแล้วนะนี่
พระประเภท.. เพชรน้ำหนึ่งๆ หมดไปๆ ”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๓๙๓
**************

ฐิตา:



พระอรหันต์ไม่มีน้ำตาเหรอ มีอยู่ในกายของทุกคน น้ำตาก็คือขันธ์ มันกระเพื่อมก็ไหลออกมาได้ เกิดความสลดสังเวช นี่ละท่านเรียกว่าสลดสังเวช ไม่ได้บอกว่าท่านร้องไห้ เพราะคำว่าร้องไห้เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ปลงธรรมสังเวชนี้เป็นกิริยาของน้ำตาร่วง เกิดขึ้นจากขันธ์กระเพื่อม สังขารปรุงขึ้นมาจากความรับทราบ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว นั่นละพระอรหันต์ทั้งหลายท่านปลงธรรมสังเวช ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน นี่เรียกว่าขันธ์

ขันธ์จะทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์เหมือนกันกับปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์กับปุถุชนก็ขันธ์เสมอกัน การแสดงกิริยาของมัน มันก็แสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมันเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนั้นไม่เข้าซึมซาบ ผิดกันเท่านั้นเอง เช่น เดินไปถนนหนทางลื่นจะหกล้มนี้ พระอรหันต์กับคนสามัญธรรมดาจะช่วยตัวเองเต็มเหนี่ยว ไม่ควรล้มไม่ล้ม หรือก้าวเหยียบลงไปเห็นรากไม้เหมือนกับว่าเป็นงูนี้ โดดผางเลยข้ามเลย นั่นละเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบ ๆ เป็นอย่างนั้นไป เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง แย็บ ที่ต่างกัน

กิริยาที่ท่านแสดงช่วยตัวเองนั้นเหมือนกัน แต่ภายในใจของปุถุชนกับพระอรหันต์นี้ต่างกัน คือ ภายในใจของปุถุชนนี้จะตกใจ จิตใจร้อนวูบเลยเวลาตกใจนะ เช่น จะเหยียบงูอย่างนี้ โดดข้ามปึ๋ง จิตใจนี่ร้อนวูบเลย แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าเป็นงูแย็บเท่านั้น นี่ขันธ์แสดงแย็บเท่านั้นเองผ่าน ถึงจะล้มก็ล้ม ท่านไม่ได้เสียใจ มันอยากล้มก็ล้มไป มันทนไม่ไหวทานไม่ไหวก็ล้มไป นี่กิริยาอันนี้เหมือนกัน ขันธ์ของพระอรหันต์กับขันธ์ของปุถุชนเป็นขันธ์เหมือนกัน ต้องแสดงเต็มตัวได้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงไม่เข้าซึมซาบถึงใจท่านเท่านั้นเอง ให้พากันทราบเอาไว้

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
พระอรหันต์กับปุถุชน
๓๑ กรกฏาคม ๒๕๔๓
*****************

ไปบ่ไปเฮากะบ่ว่าดอก เฮาบ่นซื่อๆ เด๊ เป็นโอกาสสิเว่ากะเว่า
ธรรมดาบ่เคยเว่าดอกแนวหมู่นี่ เรื่องจะไปจะอยู่
เฮาบ่มีอาลัย เฮาหมดห่วงหมดใยคูแนว ตัดขาดหมดเลย
บ่มีอันใด๋เหลือในใจ ถึงจุดที่ว่า จิตว่าง ว่างทุกอย่าง
มีแต่ธรรม ธรรมว่างไปแบบหนึ่งเด๊
๙๘ ย่างเข้ามาแล้ว มันกะใกล้แล้วเด๊ ใกล้สิไปแล้ว
ไปกะไป เฮาบ่ย่านบ่หาญเด๊ ซือๆ อยู่
ได้ธรรมมาเต็มหัวใจทุกอย่าง บำเพ็ญธรรมจนเต็มหัวใจแล้ว
หายห่วง ยังอยู่แต่ร่างกายกับสุขภาพ มันสิไปมื้อใด๋มันกะไปท่อนั้นแล้ว
บ่ไปก็อยู่อย่างนี้แหละ ความห่วงความใยอันใด๋บ่มีหมดเลย
เดินอย่างสะดวกสบายละ สูงสุดไปเลยโลด เว่ามันคักๆ จั่งซี้แหละ
เฮาบ่เคยเว่าดอก

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๘๒๒
**************

“เหนื่อย .. อยู่ท่าไหนก็ไม่สะดวกสบาย
เหนื่อย .. วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่เหนื่อย
ความเฒ่าความแก่มีแต่บีบเข้าๆ เราหายสงสัยหมด
ในอรรถในธรรม โล่งหมดเลย เรียกว่าสิ้นสุดล่ะ
การเกิดการตายในชาตินี้ เรียกว่าสิ้นสุดหมดเลย ในชาตินี้
เป็นชาติสุดท้าย ทะลุหมด โลกธาตุนี้ทะลุหมดเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยวางหมด ไม่มีอะไรเหลือ
ความดีความชั่ว โทษคุณ ปล่อยวางหมด ไม่มีเหลือ”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๘๑๖
*************

“ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา...เราจะไม่กลับมาเกิดอีก
ชั่วอนันตกาล .. อันกายนี้มันร้อนเป็นไฟ
สังขารมันทรมาน แต่ใจนี่สิ อาจหาญและสว่างจ้าอยู่ตลอด
มันสว่างมากนะ จนไม่มีอะไรเปรียบได้”

จาก.. หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๘๑๘
*********************


ธรรมะ ท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง
จะได้เห็นความบกพร่องของตนเอง
แล้วแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ได้

มหาเถเร ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต
*****************


-http://www.facebook.com/supany.maew

ฐิตา:



"พูดเรื่องอะไรก็เป็นอรรถเป็นธรรม
เป็นเหตุเป็นผลที่เป็นคติตัวอย่างแก่กันและกัน เป็นเครื่องรื่นเริง
ไม่ใช่พูดเพื่อสั่งสมกิเลส
หรือทำความกระทบกระเทือนให้แก่ผู้ฟังทั้งหลาย
นี่เรียกว่า สัมมาวาจา"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน



-http://www.facebook.com/profile.php?id=100002458281945

ความฝันของพระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป)
ในคืนวันที่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน จะละสังขาร

----------------------------------

อาตมภาพมีความคุ้นเคยนับถือกันกับหลวงตามหาบัว
ตั้งแต่คราวไปพักที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
ตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒-๘๓
สมัยนั้นหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ไปเรียนนักธรรมเอก และบาลีประโยค ๓ ที่วัดเจดีย์หลวง

วันหนึ่งได้ขึ้นไปกุฏิหลังพระเทพโมลี (พิมพ์ ธมฺมธโร)
แล้วก็เห็นพระบัว ญาณสมฺปนฺโน นอนอยู่ ไม่มีมุ้งกลด ต้องนอนตากยุง
อาตมภาพได้ถวายมุ้งหลังหนึ่ง ก็รู้จักมักคุ้นกันมาแต่นั้น
ท่านเป็นผู้ที่มีความตั้งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรม
จะเอาเพียงนักธรรมเอกและประโยค ๓
ต่อจากนั้นไปก็จะออกปฏิบัติกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
ซึ่งไปอยู่ศึกษาอบรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ๘ ปี
จนได้หลักจิตหลักใจ แล้วมาตั้งวัดป่าบ้านตาด
แนะนำสั่งสอนพระเณรและประชาชนจนมีลูกศิษย์ลูกหา
เป็นที่เคารพนับถือเลื่อมใสของประชาชนทั่วประเทศ
แม้แต่อาตมภาพขณะใดจิตไม่สงบดับจากกิเลส
ก็มาปรึกษาหารือกับหลวงตามมหาบัว ท่านก็แนะนำ
อันนี้เนื่องจากบุญเก่าได้บันดาลให้มาพบกัน

ปลายปีที่แล้วในระยะหลวงตาอาพาธ
อาตมภาพได้แวะไปเยี่ยมหลายครั้ง
ในวันที่หลวงตามหาบัวจะละสังขาร
อาตมภาพขณะพักจำวัดหลับเคลิ้มไป

ก็ปรากฏว่าหลวงตามหาบัวแวะมาหากราบ ๓ ครั้ง
ก็พูดว่า “เจ้าคุณฯ ผมมาลานะ”

อาตมภาพก็ถามว่า “จะลาไปไหน ?”

ท่านบอกว่า “ไปที่ไม่เกิดอีก เพราะชาติสุดท้ายของผม
ให้เจ้าคุณฯ อยู่ต่อไป ให้ลูกหลานได้กราบไหว้” แล้วหายไป

ตื่นขึ้นก็จำความฝันได้ชัดเจน เวลาประมาณตี ๔ นาฬิกา
ก็ยังนึกอยู่ว่า หลวงตามหาบัวคงไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว
ตอนเช้าก็รับทราบว่ามรณภาพ
รู้สึกใจหายและรู้สึกอาลัยในการจากไปของหลวงตาเป็นที่สุด
ซึ่งอาตมภาพมั่นใจว่า “ท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว”
ท่านได้วางแบบอย่างอันงดงามไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดำเนินรอยตาม
ขอให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้สืบแนวปฏิปทาต่อไป

จาก...หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์

>>fb supani

ฐิตา:


พรปีใหม่ หลวงตามหาบัว..

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยได้ให้พรปีใหม่ไว้ในปีหนึ่งว่า..
      ขอให้ประชาชนคนไทยทั้งชายและหญิงให้ประพฤติตนเป็นคนดี รวมถึงพระภิกษุสามเณรด้วย เพราะการทำความดีถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติในแต่ละวันนั้นสามารถทำในสิ่งที่ดีและชั่วได้ และถ้าทำสิ่งไม่ดีก็จะเป็นผลเสียแก่ตนเอง แต่ถ้าทำในสิ่งที่ดีก็จะเป็นสิริมงคลแก่ตนเองเช่นกัน ให้ทุกคนตระหนักถึงการกระทำของตนให้ดีมีสิ่งยึดมั่นในจิตใจไม่ไขว่เขว เพราะถ้าหากจิตใจไม่มั่นคงผลที่ตามมาจะส่งผลทั้งตนเองและประเทศชาตินำพาไปสู่ความล่มจม จงช่วยกันในการทำความดีเพื่อเป็นการพยุงตนและชาติให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

หลวงตามหาบัว กล่าวต่อว่า อย่าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเกินตัว อย่าโลภเพราะจะทำให้เสียคน เพราะทุกวันนี้สังคมไทยมีแต่ความฟุ้งเฟ้อ อะไรผ่านเข้ามาเป็นต้องคว้าไปหมด นิเป็นนิสัยของคนไทยที่ควรปรับปรุง ถ้าหากว่ารู้จักถึงความพอเหมาะพอดีแล้วจะเป็นคนดี มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งในการทำชั่วอยู่ในกรอบของความดีโดยไม่ต้องเอาใครมาวัดมาตวงเอาตัวของเราวัดตัวของเราเอง ในวันที่เราว่างสามารถที่จะเสาะแสวงหาความดีงามการให้ทาน การบริจาค การเฉลี่ยเผื่อแผ่ นี้เป็นมงคลแห่งตัวของเราและชาติไทยของเรา มีความเสียสละอยู่ด้วยกันสนิทใจ ถ้าไม่มีความเสียสละต่อกัน ไม่เห็นอกเห็นใจกันเลยนี้คับแคบตีบตัน ไปที่ไหนร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เขาก็อาศัยเราไม่ได้ เราก็อาศัยเขาไม่ได้

"อย่าแทงข้างหลังกัน การให้อภัยกันเป็นสิ่งที่ดี เพราะกิเลสมันมีอยู่ในทุกคน มันจะเป็นตัวที่มาทิ่มแทงข้างหลังให้เราเจ็บแสบที่สุดจนถึงวันตาย ถึงตายก็ลืมกันไม่ได้ นี่ละคนที่เขาก่อกรรมก่อเวรกันเพราะการถูกแทงข้างหลัง เจ็บแค้นมากทีเดียว แทงข้างหลังกับหักหลังนี้มีน้ำหนักเท่ากัน เจ็บแสบเท่ากัน ความเคียดแค้นที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากการหักหลังกันและแทงข้างหลังนี้มีมากที่สุด เมื่อเจ็บแค้นแล้วจะเอาอะไรตอบแทน ก็ต้องผูกโกรธผูกแค้นจองกรรมจองเวรกันเป็นการตอบแทนกัน ก็ยิ่งเพิ่มฟืนเพิ่มไฟขึ้นไปไม่มีประมาณ ดังธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหน ๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะการก่อกรรมก่อเวรต่อกัน อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน แต่เวรจะระงับลงได้ด้วยการไม่ก่อกรรมก่อเวร ธรรมนี้เป็นธรรมพื้นฐานที่จะให้โลกสงบร่มเย็นต่อกัน ผิดพลาดมันก็มีด้วยกันมนุษย์เรา ขอให้พากันระมัดระวัง เห็นอกเห็นใจ ให้อภัยกันเสมอ" หลวงตามหาบัว กล่าว

เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด กล่าวเพิ่มเติมว่า นี่ก็เริ่มปีใหม่แล้ว ขอให้คนทุกคนจงทั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดีสร้างความดีงามและสืบทอดความดีงามจากปีที่ผ่านมา สร้างความดีเพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อยๆให้ดีตลอดไป ให้ห่างจากความทะเยอทะยานเห็นแก่ตัวเพราะสิ่งเหล่านี้จะกลับมาทำลายตนเอง การที่จะทำอะไรต้องใช้ความพินิจพิจารณา มีสติธรรมปัญญาธรรม สติระลึกรู้ตัว อย่าลืมตัว ให้สติติดกับตัวเสมอ อะไรมันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนถ้าสติอยู่กับตัว ติดแนบกับตัวอย่างเข้มแข็งด้วยแล้ว ความเคลื่อนไหวเพื่อความเสียหายจะไม่มี ที่มีก็เพราะความเผลอสติ ปล่อยสติไปตามความชั่วเกิดเป้นไฟในจิตใจเผาทั้งตัวเองและส่วนรวมให้เดือดร้อน

ฉะนั้น จะทำสิ่งใดต้องมีสติ เงินทองที่หามาได้ควรรู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด ตามความจำเป็น อย่าจ่ายตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน อย่าใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดีไม่ดีต้องหายาทันใจมากินแก้ปวดหัว ควรที่จะระงับอารมณ์กับการใช้จ่ายถึงแม้ว่าจะเคยใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยมาแล้ว จนติดเป็นนิสัยหากไม่ได้จ่ายถึงกับปวดหัว วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ ปีเก่าปีใหม่ก็เทศน์มาทุกปี ให้พากันจำเอาไว้ ตั้งเนื้อตั้งตัวเพื่อความเป็นคนดี ทั้งปีใหม่ปีเก่าเราจะเป็นคนดีตลอดไป ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ หลวงตามหาบัว กล่าว

F/B>>> :Jeng Dhammajaree

ฐิตา:



..การพิจารณานี้เป็นการที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้น
ตามหลักความเป็นจริง
ที่รู้เห็นมันเรียบร้อยแล้วถอยเข้ามาๆ จิตก็ปล่อยตัวเข้ามา
แล้วความหนักทั้งหลายด้วยอุปาทานมันก็เบาลงๆ ..

"เหมือนแห เมื่อเรากางออกไปแล้วมองไปที่ไหนก็ไม่เห็นจุดที่จะจับได้
ต้องจับจอมแหดึงขึ้นมา แล้วตีนแหจะหดย่นเข้ามาๆ
แล้วก็มาเป็นกองแห อันนี้กระแสของจิตมันเหมือนตีนแหนั่นแหละ
กระจายออกไป เอาพุทโธๆ ซึ่งเป็นเหมือนจอมแห
หรือคำบริกรรมใดก็ตามนี้เป็นเหมือนจอมแห ให้จับตรงนี้ให้ดี

สติอยู่จุดนี้ให้ดีแล้ว แล้วตีนแหคือกระแสของจิต
จะค่อยหดย่นเข้ามาๆ ก็มาเป็นกองแหคือจุดผู้รู้เด่นอยู่ตรงนั้น
จำให้ดีนะ นี่เบื้องต้นในการฝึกทรมานจิตใจของเรา
เมื่อตั้งหลายครั้งหลายหนเข้าไป จุดนี้ก็จะเด่นขึ้น จุดที่ว่ากองแหๆ นี่
พอเด่นขึ้นแล้วจะเป็นความสว่างไสว ความสงบร่มเย็น
จะอยู่ในนั้นหมดเลย แล้วกระจายออกไป แน่นหนามั่นคงเข้าๆ

จากนั้นท่านก็สอนปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ แยกเขาแยกเรา
แยกสัตว์แยกบุคคล ภูเขาภูเรา แยกออกไปมันเป็นอะไรต่ออะไร
เพราะจิตมันยึดถือได้หมดเลย ไม่ว่าอะไรยึดได้ทั้งนั้น
การพิจารณานี้เป็นการที่จะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นตามหลัก
ความเป็นจริงที่รู้เห็นมันเรียบร้อยแล้วถอยเข้ามาๆ จิตก็ปล่อยตัวเข้ามา
แล้วความหนักทั้งหลายด้วยอุปาทานมันก็เบาลงๆ "

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๒


www.luangta.com
Kajitsai Sakuljittajarern ได้แชร์รูปภาพของ
มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพจ
8/6/57

กิเลสเป็นสิ่งสมมุติ..ที่เกิดขึ้นได้-ดับได้
เพราะฉะนั้นจึงชําระได้ มีมากขึ้นได้
ทําให้ลดลงได้.. ทําให้หมดสิ้นไปก็ได้
เพราะเป็นเรื่องของสมมุติ

แตจิตล้วน ๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติ..
ที่เรียกว่า “จิตตวิมุตติ” แล้ว
ย่อมพ้นวิสัยแห่งกิเลสทั้งมวล
อันเป็นสมมุติจะเอื้อมเข้าถึงและทําลายได้
ถ้ายังไม่บริสุทธิ์มันก็เป็นสมมุติ
เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลาย

เพราะสิ่งสมมุตินั้นแทรกตัวอยู่ในจิต
เมื่อแก้นี้ออกจนหมดแล้ว
ธรรมชาติที่เป็นวิมุตตินี่แล
เป็นธรรมชาติที่กิเลสใด ๆ
จะทําอะไรต่อไปไม่ได้อีก
เพราะพ้นวิสัยแล้ว แล้วอะไรฉิบหาย ?

ทุกข์ก็ดับไปเพราะสมุทัยดับ
นิโรธความดับทุกข์ก็ดับไป
มรรคเครื่องประหารสมุทัย ก็ดับไป

สัจธรรมทั้งสี่ดับไปด้วยกันทั้งนั้น คือ ทุกข์ก็ดับ
สมุทัยก็ดับ มรรคก็ดับ นิโรธก็ดับ แน่ะ ! ฟังซิ

@หลวงตามหาบัว


F/B>>> :Jeng Dhammajaree

..เพราะใจเป็น อฐานะ ที่สิ่งเหล่านี้จะซึมซาบได้แล้ว..
เมื่อได้หลุดพ้นจาก สมมุติ โดยประการท้ังปวง
ถึงข้้น วิมุตติ เต็มหัวใจแล้ว
พ้นแล้วจาก วิสัยของสมมุติท้ังหลาย ที่จะเอื้อมถึง
จิตของผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้นจึงไม่มีคำว่า "ไตรลักษณ์"
ไม่มีคำว่า "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา"

ทุกข์ เวทนาทั้งหลายจึงเข้าไม่ถึง เพราะอันนี้เป็นสมมุติ
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เหล่านี้
ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นสมมุติทั้งน้้น จิตนั่นเป็นจิตวิมุตติเข้ากันได้ยังไง
เข้าไม่ได้ รู้เอง อ๋อ เป็นอย่างนี้
เวทนาในจิตของพระอรหันต์ไม่มีก็รู้เอง ก็มีแต่ในธาตุในขันธ์
เจ็บน้ันปวดนี้ก็รู้ แต่ไม่สามารถเข้าไปซึมซาบถึงใจได้ เพราะใจ
เป็นอฐานะที่สิ่งเหล่านี้จะซึมซาบได้แล้ว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กัณฑ์เทศน์ "ธรรมสถิตที่ใจ"


Kajitsai Sakuljittajarern ได้แชร์รูปภาพของ Sutunya Sundarasardula

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version