แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

@ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก

<< < (20/31) > >>

ฐิตา:


         

๗๓. ๒ จิตที่สะอาดและสงบ

สรรพสิ่งแต่ดั้งเดิมมาล้วนแต่สะอาดและบริสุทธิ์
จิตที่เป็นพุทธะก็ล้วนแต่สะอาดและบริสุทธิ์เช่นกัน
แล้วเหล่าเวไนยทำไมถึงเกิดความวุ่นวายและกังวล
จนเป็นทุกข์อย่างยากที่จะเอ่ยออกมา

มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เพื่อที่จะสอนศิษย์ที่เบาปัญญาคนหนึ่ง
ให้รู้ว่าจิตเดิมแท้ดั้งเดิมสะอาดและบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว
จึงอดทนรอเพื่อให้เกิดเหตุปัจจัยที่พอเหมาะแล้วจะชี้แนะธรรมให้

วันหนึ่งขณะที่เดินไปตามทางกับเหล่าลูกศิษย์ บังเอิญข้างทาง
มีกระดาษที่ห่อน้ำหอม กับเชือกที่มัดปลาตายเส้นหนึ่ง
เมื่อเห็นเป็นโอกาสที่ประจวบเหมาะแล้ว จึงถามลูกศิษย์ว่า
“กระดาษนี้หอมมาแต่แรกหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ แต่หอมเพราะได้ห่อน้ำหอมไว้” ลูกศิษย์ตอบ
“เชือกนี้เหม็นมาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ ที่เหม็นเพราะไปผูกปลาที่ตายแล้ว”

พระอาจารย์จึงแสดงธรรมให้ฟังว่า “จิตที่เป็นพุทธะของเหล่าเวไนย
แต่ดั้งเดิมมาก็สะอาดบริสุทธิ์ไร้ราคี แต่มาเปรอะเปื้อนเพราะกิเลสต่างๆ
มารุมเร้า ทำให้จิตที่สะอาดต้องมากลายเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง
และถูกสิ่งเหล่านั้นครอบงำจนไม่เห็นจิตเดิมแท้

เพียงแค่รักษาจิตที่สะอาดและสงบนี้ไว้
ก็จะสามารถขจัดความโลภกลายเป็นจิตที่มีศีล
ความโกรธก็จะก็จะกลายเป็นจิตที่นิ่งสงบ
ความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา

ทำ โลภ โกรธ หลง ให้กลายเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา”
หลังจากเหล่าลูกศิษย์เมื่อฟังแล้ว ก็เริ่มต้นใช้แนวทางที่ทำให้จิต
สะอาดและสงบมาเป็นวิถีทางแห่งการภาวนา

เมื่อรู้ต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ รู้มูลเหตุที่ทำให้เรามีความสุข
เพียงแค่ห่างไกลไปจากเหตุต้น-ผลกรรมที่เป็นอกุศล
เหตุต้น-ผลกรรมที่เป็นกุศลก็จะปรากฏขึ้นมาเอง

           

ฐิตา:




๗๓. ๓ การเดินทางของสายน้ำ

มีธารน้ำเล็กๆสายหนึ่งไหลมาจากยอดเขาที่ห่างไกลออกไป
ผ่านป่าเขาหมู่บ้านและผ่านในเมืองมาหลายแห่ง
สุดท้ายมาถึงทะเลทรายแห่งหนึ่งสายน้ำคิดในใจว่า
“เราก็ผ่านอุปสรรคและสิ่งกีดขวางต่างๆนานามานับไม่ถ้วน
ครั้งนี้คงจะผ่านทะเลทรายแห่งนี้ไปได้ด้วยดี”

ขณะเมื่อสายน้ำมุ่งมั่นจะผ่านทะเลทรายอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าน้ำของตัวเองค่อยๆ
ซึมหายไปในทรายเหล่านั้น ยิ่งไหลผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกว่าน้ำก็ยิ่งหายไป
เรื่อยๆ จนรู้สึกท้อแท้ “คิดในใจว่า นี่คงจะเป็นชะตาชีวิตของตนเองแล้ว
และคงจะไม่มีทางที่จะได้ไหลไปสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลตามคำที่เขาเล่าลือ

เมื่อสายน้ำรำพึงรำพันด้วยความเสียใจอยู่นั้น ก็มีเสียงแว่วแผ่วกระซิบมาว่า
“ถ้าหากสายลมสามารถพัดผ่านทะเลทรายได้ สายน้ำก็จะไหลผ่านไปได้เหมือน
กัน” ที่แท้เสียงที่เหมือนกับกระซิบมานั้นเป็นเสียงของทะเลทรายเอง
สายน้ำตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจว่า “นั่นเป็นเพราะลมสามารถบิน
ข้ามทะเลทรายไปได้ แต่ข้าทำไม่ได้”

“เป็นเพราะเจ้ายืนกรานที่จะเป็นสภาพเดิม ลมจึงไม่สามารถพัดพาเจ้าข้ามไปได้
เพียงแต่เจ้ายอมปล่อยวางสภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ให้ตัวเองกลายเป็นไอน้ำ
แล้วหลอมรวมไปกับสายลม” ทะเลทรายกล่าวต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา

สายน้ำไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย คิดในใจว่า
“ปล่อยวางสภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ แล้วสลายรวมไปในสายลม?
ไม่! ไม่! “ สายน้ำไม่ยอมรับคำเสนอแนะที่ให้เป็นลักษณะนั้น
แล้วตัวเองก็ไม่เคยผ่านประสบการณ์ลักษณะอย่างนั้นมาก่อน จะให้ปล่อยวาง
ลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่เท่ากับเป็นการทำลายล้างตัวเองหรือ?”

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่เป็นความจริงหรือเปล่า?” สายน้ำถาม
“สายลมสามารถนำไอน้ำรวมเข้ากับตัวเอง แล้วพัดผ่านทะเลทราย เมื่อไปประจวบ
กับสภาพที่เหมาะสม ก็จะคายไอน้ำออกมา แล้วกลายเป็นฝน หลังจากนั้น
น้ำฝนก็จะกลายเป็นสายน้ำ ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆอีก” ทะเลทรายตอบ

“แล้วข้าจะยังคงเป็นสายน้ำดั้งเดิมหรือเปล่า?”
“จะบอกว่าใช่ก็ได้ จะบอกว่าไม่ใช่ก็ได้ และไม่ว่าเจ้าจะเป็นสายน้ำหรือเป็น
ไอน้ำที่มองไม่เห็น แต่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง
เจ้ายืนกรานที่จะเป็นสายน้ำ เพราะเจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวตนที่แท้จริง
ของตัวเองคืออะไร”

ช่วงเวลานั้นสายน้ำคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่า ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็น
สายน้ำ ก็เคยถูกลมนำตนเอง พัดพาผ่านพื้นดินไปยังยอดเขา
แล้วกลายเป็นฝน แล้วกลายเป็นสายน้ำอย่างทุกวันนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น สายน้ำจึงรวบรวมแรงใจครั้งสุดท้าย
กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนที่อ้าออกมารับของสายลม
แล้วหายไปในสายลมนั้น ให้สายลมนั้นพัดพาผ่านไปใน
ชีวิตทุกขั้นตอนที่จะดำเนินไป



ทุกขั้นตอนของชีวิตคนเราก็เหมือนกับสายน้ำ
หากอยากจะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนาม
ก็จำจะต้องปล่อยวางตัวตนที่ยึดมั่นอยู่ พร้อมกับใช้ปัญญา
และความกล้ามุ่งหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
ลองถามตัวเองดูบ้างซีว่า ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร?
และสิ่งที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่คืออะไร? สิ่งที่ต้องการคืออะไร?



ฐิตา:


             

๗๓. ๔ ชีวิตคล้ายดั่งใบชา

ใบชาถูกน้ำร้อนถึงจะออกรสและกลิ่นที่หอมกรุ่นนุ่มลึก
ชีวิตก็ต้องพบกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะเกิดความหอมกรุ่นของชีวิต

มีชายหนุ่มที่พบกับความผิดหวังคนหนึ่งมาที่วัด พบกับพระอาจารย์แล้ว
เล่าระบายทุกข์ให้ฟังว่า “เฉกเช่นคนอย่างข้าพเจ้าซึ่งผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
มีชีวิตก็เพียงแค่อยู่ไปวันๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

พระอาจารย์นั่งนิ่งอย่างสงบและสำรวม ฟังชายหนุ่มคนนั้นรำพึง
รำพันและทอดถอนใจ ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่สั่งพระที่เป็นอุปัฏฐากว่า
“ประสกท่านนี้เดินทางมาแต่ไกล ไปหาน้ำอุ่นมาสักกาซิ”
เมื่อพระนั้นยกกาน้ำอุ่นมาให้ พระอาจารย์จึงหยิบใบชามาใส่ไว้ในแก้ว
แล้วรินน้ำอุ่นลงในแก้ว พลางยื่นแก้วนั้นให้กับชายหนุ่ม แล้วพูดว่า
“ประสก เชิญดื่มชาก่อน”

               

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองแก้วชานั้น เห็นไอความร้องลอยอ้อยอิ่งออกมาเล็กน้อย
มีใบชาลอยขึ้นมาอยู่นิ่งๆ
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างๆไม่เข้าใจว่า “ทำไมวัดนี้ถึงใช้น้ำอุ่นชงชา?”
พระอาจารย์ไม่พูดอะไร เพียงแต่แสดงทีท่าว่า “ดื่มชาก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มนั้นจึงจำใจยกชาขึ้นมาจิบไปสองสามครั้ง”
พระอาจารย์ถามว่า “ชานี้คงจะหอมซินะ”
ชายหนุ่มนั้นจึงค่อยๆยกชาขึ้นมาจิบเพื่อลิ้มรสอย่างช้าๆ พลางส่ายหัวพูดว่า
“นี่เป็นชาอะไรครับ ความหอมสักนิดก็ไม่มี”

                     

พระอาจารย์ยิ้มพลางและพูดว่า
“นี่เป็นใบชาชื่อดังที่ชื่อว่ากวนอิมเหล็ก ทำไมถึงไม่หอมล่ะ”
ชายหนุ่มนั้นเมื่อได้ฟังว่าเป็นใบชารสเลิศที่ชื่อกวนอิมเหล็ก
ก็รีบยกแก้วขึ้นมาแล้วใช้ลมเป่าเศษใบชาที่ลอยอยู่ออก แล้วค่อยๆ
จิบเพื่อลิ้มรสชาติใหม่ แล้ววางแก้วลงพลางยืนยันอีกว่า
“ไม่มีกลิ่นชาแม้แต่สักนิดจริงๆ”

พระอาจารย์จึงสั่งพระอีกรูปหนึ่ง ให้เอาน้ำเดือดมาอีกกา
เมื่อกาน้ำร้อนมาแล้ว พระอาจารย์จึงหยิบใบชาใส่ลงในแก้วอีกใบหนึ่ง
แล้วเติมน้ำร้อนลงไป แล้วยกไปวางไว้ข้างหน้าชายหนุ่ม
ชายหนุ่มนั้นก้มหน้ามองไปที่แก้วน้ำใบนั้น ก็เห็นใบชาในแก้วลอยขึ้นลง
ไปตามแรงวนของใบชา แล้วสักครู่ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของใบชา
ลอยขึ้นมาแตะจมูก ชายหนุ่มนั้นเผลอยกขึ้นมาสูดกลิ่น

                         

พระอาจารย์พูดขึ้นมาว่า “ช้าก่อน พ่อหนุ่ม”
พลางเติมน้ำร้อนลงในแก้วเพิ่มขึ้นอีก ชายหนุ่มนั้นก้มหน้าลงมองแก้วน้ำ
ก็เห็นใบชาเหล่านั้นลอยขึ้นและจมลงหมุนวนคละไปทั่ว พร้อมกับ
ได้กลิ่นหอมอ่อนของใบชาลอยอบอวลขึ้นมานอกแก้วชา
พระอาจารย์เติมน้ำร้อนเพิ่มลงในแก้วอีกหลายครั้ง
จนน้ำเต็มแก้ว พลางถามว่า “ประสก ทำไมใช้ใบชาชนิดเดียวกัน
ทำไมกลิ่นชาถึงแตกต่างกัน?”



“ใบหนึ่งใช้น้ำอุ่นชง อีกใบหนึ่งใช้น้ำเดือดชง เพราะใช้น้ำที่แตกต่างกัน หนุ่มนั้นตอบ
“ใช้น้ำที่ต่างกัน การลอยของใบชาก็แตกต่างกัน ใบชาที่ใช้น้ำอุ่น ใบชาจะ
ลอยเอื่อยๆ ไม่มีการลอยแล้วจม แล้วใบชาจะแผ่กระจายความหอมออกมาได้อย่างไร?
แต่ใบชาที่ชงกับน้ำเดือด ผ่านน้ำร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ใบชาจมแล้วก็ลอย

ลอยแล้วก็จม ลอยๆจมๆใบชาก็จะแผ่ขจายกลิ่นหอมของฝนที่รับมาจากฤดูใบไม้ผลิ
ความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ได้ในฤดูร้อน ความเย็นสงบในหน้าหนาว

คนมากมายในโลกนี้ มีอะไรไม่เหมือนชาเล่า คนที่ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว
ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆไปเรื่อยๆ ก็เหมือนกับใช้น้ำอุ่นชงชา ใบชาลอยไปเสมอกัน
ไม่สามารถกลั่นเอาความหอมและปัญญาออกมาได้

               

และคนที่ต้องพบกับอุปสรรคและทุกข์ลำเค็ญอดมื้อกินมื้อ
พบกับความโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เหมือนใบชา
ที่ชงกับน้ำร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาผ่านวันเวลาฝ่าลมฝนพายุที่ขึ้นๆลง
เสมอมา ทำให้ชีวิตของพวกเขาค่อยๆกลั่นความหมายออกมา
สวนกระแสขึ้นมาเหมือนใบชา แล้วพวกเราทำไมจะไม่เหมือนชีวิตของชา
ชะตาชีวิตทำไมจะไม่เหมือนกาน้ำอุ่นหรือน้ำเดือด

ใบชาเพราะถูกน้ำร้อนจัด จึงคายความหอมที่บ่มเพาะอยู่ในตัวออกมา
และชีวิตก็มีแต่พบอุปสรรคและความยากลำบาก
ถึงจะบ่มเพาะความหอมที่มีอยู่ในตัวออกมา

               

ฐิตา:


             


๗๔. แสงสว่างในดวงจิต

มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงคิดจะมอบบาตรและจีวร
เพื่อให้ลูกศิษย์รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสต่อไป แต่ในบรรดาลูกศิษย์
ทั้งหลายมีอยู่ถึงสามคนที่ค่อนข้างจะเข้าถึงธรรมมากที่สุด จึงค่อนข้างจะ
ลำบากใจที่จะเลือกคนใดคนหนึ่ง

ช่วงเย็นโพล้เพล้ใกล้ค่ำของวันหนึ่ง พระอาจารย์พอจะรู้ว่าอายุขัย
ของตนเองใกล้จะหมดแล้ว ควรจะถึงเวลาแล้วที่จะตัดสินให้คนใด
คนหนึ่งรับตำแหน่งต่อไป จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งสามมาแล้วสั่งให้ไปซื้อ
อะไรอย่างหนึ่ง ดูซิว่าใครจะสามารถซื้อของได้ถูกและได้มากจนเต็มกุฏิ

เมื่อศิษย์ทั้งสามรับเงินจากพระอาจารย์แล้ว มีสองคนที่เดินออกไป
แต่มีอีกคนที่ไม่ไป แล้วไปนั่งสมาธิข้างๆพระอาจารย์ ไม่ได้ขยับไปไหน

ไม่นาน ศิษย์คนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ได้ซื้อหญ้าแห้งมาหลายคันรถ
สามารถใส่ให้เต็มกุฏินี้ได้ พระอาจารย์ฟ้งแล้วรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก

และอีกรูปหนึ่งก็กลับมาในเวลาใกล้เคียง มาถึงก็หยิบเทียนเล่มหนึ่ง
ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วก็จุดให้สว่าง พระอาจารย์เห็นแล้วก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก



แล้วพระอาจารย์ก็มองไปที่ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูกศิษย์นั้นลุกขึ้น
แล้วคืนเงินให้พระอาจารย์ พนมมือแล้วพูดว่า
“อาจารย์ สิ่งที่ศิษย์สั่งซื้อกำลังจะมาแล้ว” พูดจบก็เป่าเทียนจนดับ
ในห้องจึงมีแต่ความมืด แล้วศิษย์คนนั้นก็ชี้ไปที่นอกหน้าต่างแล้วพูดว่า
“อาจารย์ สิ่งที่ลูกศิษย์ซื้อได้มาถึงแล้ว”
พระอาจารย์มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นดวงจันทร์ลอยเด่น
ส่องสว่างเต็มดวงอยู่กลางท้องฟ้า ความสว่างของดวงจันทร์
สาดส่องเข้ามาในกุฏิ จนสว่างไปทั่วห้อง

“เจ้าคิดวิธีนี้ได้อย่างไร?” พระอาจารย์ถาม
“แม้ว่าหญ้าแห้งจะนำมาใส่จนเต็มกุฏิได้ แต่ก็ทำให้กุฏินี้มืดและสกปรก
และเทียนก็ใหญ่เพียงแค่นิ้วมือ ไม่มีราคาค่างวด คนซื้อเทียนก็ไม่เกิดปัญญาขึ้นมาได้
แต่เมื่อดวงจันทร์ลอยเด่นขึ้นมา สามารถทำให้สว่างไปทั่วห้องได้

เมื่อฟ้าสว่างพื้นดินก็ย่อมสว่าง ฟ้าและดินสว่างจิตก็ย่อมสว่างตาม
จิตเดิมแท้ส่องสว่างขึ้นมาในดวงจิต โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาแต่อย่างไร
เพราะในจิตมีแสงสว่างของจิตเดิมแท้อยู่แล้ว” ลูกศิษย์ตอบ

เมื่อพระอาจารย์ได้ฟังแล้วก็ถอดจีวรไปคลุมให้ลูกศิษย์นั้น
และให้สืบทอดเป็นเจ้าอาวาสต่อไป

               

ฐิตา:



๗๔. ๑ จำนวนครั้งที่ลุกขึ้นมาสู้

คุณพ่อท่านหนึ่งเป็นกังวลกับลูกชายของตัวเองมาก เพราะอายุถึงสิบห้าสิบหก
ปีแล้ว แต่รู้สึกว่าลูกชายไม่มีความเป็นลูกผู้ชายแม้แต่นิดเดียว

เขาเลยไปหาพระอาจารย์เพื่อให้อบรมสั่งสอนลูกชายของเขา
พระอาจารย์กล่าวว่า “ให้ลูกชายของท่านอยู่ที่นี่สักสามเดือน ภายในสามเดือน
นี้ห้ามท่านมาเยี่ยม ข้ารับรองว่าจะสอนให้ลูกของเจ้าได้เป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง”

สามเดือนผ่านไป พ่อของเด็กนั้นมารับลูกกลับไป พระอาจารย์จึงจัดให้มีการ
แข่งขันยูโดเพื่อให้เห็นถึงผลการฝึกฝนของสามเดือนที่ผ่านมา คนที่มาแข่ง
กับลูกชายของเขานั้นเป็นครูผู้ฝึกนั่นเอง



เมื่อครูฝึกจู่โจมมา เด็กนั้นก็จะรับไม่ได้แล้วต้องล้มลง แต่เมื่อล้มลงแล้ว
 เด็กนั้นจะลุกขึ้นมาตั้งท่ารับใหม่ทันที เป็นอย่างนี้ผ่านไปถึงสิบกว่าครั้ง

พระอาจารย์ถามพ่อเด็กนั้นว่า “เจ้าว่าการกระทำของลูกท่านพอจะเป็น
ลูกผู้ชายแล้วหรือยัง?”
“ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าส่งลูกมาให้ท่านฝึกถึงสามเดือน
สุดท้ายผลที่ข้าพเจ้าเห็นคือ ลูกสู้ไม่เป็น เพียงเขาจู่โจมมาก็ล้มลงทุกครั้ง”

“ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนักที่เห็นเจ้ามองเพียงแค่ผลชนะหรือแพ้ เจ้าไม่เห็น
ความกล้าและความเด็ดเดี่ยวของลูกท่านที่ล้มลงแล้วลุกขึ้นมาทันที
นั่นแหละถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เพียงแค่จำนวนครั้งที่ลุกขึ้นมาสู้
มากกว่าล้มลงไปหนึ่งครั้งก็นับว่าประสบผลสำเร็จแล้ว

           

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version